การคิดล่วงหน้าไป 2-3 ก้าวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติสำหรับ โคล พาลเมอร์ ทั้งในและนอกสนาม
ไบรท์ตัน ไม่สามารถจัดการสตาร์ เชลซี ได้เลยในเกมเมื่อวันเสาร์ โดยเขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำได้ 4 ประตูในครึ่งแรกของเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่ง สิงห์บลูส์ เอาชนะที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ 4-2
เมื่อเดือนที่แล้ว วูล์ฟส์ ก็พบว่าตัวเองต้องเจอความยากลำบากไม่แพ้กัน เมื่อ พาลเมอร์ ทำได้ 1 ประตู และ 3 แอสซิสต์ นำ เชลซี ไปสู่ชัยชนะ 6-2 และนั่นเหมือนการเริ่มต้นยุคของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า
มันเป็นเวลา 12 เดือนแล้วของ พาลเมอร์ หลังออกจากบ้านในเมืองแมนเชสเตอร์เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในลอนดอน
ในขณะที่เขานั่งลงบนโซฟาในห้องใกล้ทางเข้าสนามซ้อมเซอร์รี่ย์ ของ เชลซี พาลเมอร์ ตระหนักดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีการพูดคุยถึงหัวข้อการย้ายจาก แมนฯ ซิตี้ ไปยัง เชลซี ด้วยมูลค่า 42.5 ล้านปอนด์ ในขณะที่ฤดูกาลของเขาดำเนินไปและจำนวนประตูก็ไหลมาเทมา ขณะที่เขาก็พัฒนาจนกลายเป็นนักเตะสำคัญของ เชลซี และทีมชาติอังกฤษ คำถามนี้ถูกถามขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำพลาดหรือไม่ที่ปล่อย พาลเมอร์ ซึ่งเข้ามาอยู่อะคาเดมี่ของ แมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 8 ขวบ ออกไป
กวาร์ดิโอล่า ไม่ค่อยจะมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากนัก แต่การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้หลายคนต้องตกใจ เมื่อถูกถามว่าเขาประหลาดใจหรือไม่ที่ถูกปล่อยตัวออกมา?
“ใช่” พาลเมอร์ ยอมรับหลังจากหยุดคิดสักครู่ขณะที่เขาพิจารณาคำตอบและผลที่ตามมา
“ตอนแรกผมไม่อยากที่จะย้ายออกไปเลย ผมบอกว่าผมอยากจะย้ายออกไปแบบยืมตัวสักปีเพื่อที่ผมจะพร้อมสำหรับทีมชุดใหญ่มากขึ้น เพราะผมไม่ได้ลงเล่นมากนัก (ในฤดูกาลที่แล้ว) แต่ เป๊ป ก็บอกว่า 'นายต้องอยู่ต่อหรือไม่ก็โดนขายออกไป' และก็ใช่ ผมโดนขายเลย”
“ผมสับสนเล็กน้อยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมปล่อยผมแบบยืมตัว แต่ (จากนั้น) ผมก็บอกว่าผมอยากไป เชลซี และผมก็ดีใจที่ทุกอย่างออกมาแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
การพัฒนาอื่นๆ บางอย่างก็สร้างความประหลาดใจให้ พาลเมอร์ วัย 21 ปี เช่นกันในช่วงฤดูกาลที่โดดเด่นจนถึงตอนนี้
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผู้จัดการทีมของ เชลซี ในฤดูกาลที่แล้ว มองเห็นองค์ประกอบของ อังเคล ดิ มาเรีย ในตัว พาลเมอร์ “มันเป็นคำชมอย่างสูงสำหรับนักเตะที่ถูกพูดถึง” พาลเมอร์ กล่าว “ชัดเจนว่านั่นคือนักเตะระดับโลก หวังว่าผมจะไปถึงระดับนั้นได้ และมันจะเป็นเส้นทางอาชีพที่ดี”
อันที่จริงเขาเป็นแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่เด็ก ไอดอลของเขาในวัยเด็กคือ เวย์น รูนี่ย์
พาลเมอร์ คือผู้เล่นคนสุดท้ายที่ เชลซี เซ็นสัญญาเข้ามาในซัมเมอร์นั้น แต่เขากลับกลายเป็นหนึ่งในนักเตะคนแรกๆ ที่เข้าสู่ทีมตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มความอันตรายให้กับทีมของ โปเช็ตติโน่ ได้อย่างมากไม่ว่าเขาจะโผล่มาจากตรงไหน เขาอาจเริ่มต้นในตำแหน่งหนึ่ง แต่เขาจะตระเวนไปทั่วสนามเพื่อหาพื้นที่อื่นๆ ที่เขาสามารถมีอิทธิพลต่อเกมได้
“ผมแค่ชอบที่จะได้บอลอยู่เสมอ พยายามทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น” เขากล่าว
“เมื่อทีมมีปัญหาเล็กน้อย ผมแค่อยากให้คนอื่นหันมาหาผมเพื่อพยายามทำอะไรบางอย่างซึ่งนั่นคือแรงผลักดันผม และผู้จัดการทีมก็บอกว่า 'เป็นตัวฟรีไปเลย แสดงความสามารถของนาย ทำในสิ่งที่นายทำได้' ตั้งแต่ยังเด็ก ผมรู้สึกเหมือนว่าผมมักจะทำประตูสำคัญๆ ได้ แม้กระทั่งตลอดช่วงในอะคาเดมี่ ผมชอบแบบนั้นมาโดยตลอด”
ที่ เชลซี พาลเมอร์ ได้รับโอกาสและประสบความสำเร็จในบทบาทที่เขาไม่มีที่ แมนฯ ซิตี้ “ทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองทีมอยู่ในขั้นตอนที่แตกต่างกัน” เขาอธิบายถึงความคิดของเขาเมื่อบางคนอาจคิดว่าเขาแค่ย้ายจากทีมที่อัดแน่นไปด้วยซูเปอร์สตาร์ไปยัง เชลซี
“ทีมหนึ่งเป็นโปรเจ็กต์ อีกทีมหนึ่งเป็นนักเตะที่สร้างตัวตนขึ้นมา โปรเจ็กต์ของเราเป็นโปรเจ็กต์ของดาวรุ่ง มีผู้เล่นอายุน้อยจำนวนมาก และผมคิดว่าผมน่าจะเหมาะกับโปรเจ็กต์นี้ ผมไม่รู้ว่าบุคลิกของพวกเขาเป็นอย่างไรก่อนที่ผมจะมา ดังนั้นพวกเขาจึงอาจมีหลายคนที่รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าผมมีความรับผิดชอบมากกว่าที่ผมมีที่ แมนฯ ซิตี้ แน่นอน”
นั่นทำให้สปอร์ตไลต์ส่งมาที่ พาลเมอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขัดแย้งกับบุคลิกของเขา “นอกสนาม ผมไม่อยากให้ทุกคนมองและพูดคุยกับผม ผมเป็นคนที่เงียบๆ อยู่กับตัวเอง แต่เมื่อผมลงสนาม ผมจะเปลี่ยนไป สวิตช์จะถูกสลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมชอบมันในสนาม เป็นความกดดันที่แตกต่างออกไป”
นั่นทำให้เขาเป็นตัวยิงจุดโทษโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาได้รับกับ เชลซี มากกว่าเพื่อนร่วมทีมที่ประสบการณ์สูงกว่าและเล่นกับทีมมายาวนานกว่า
“ผมค่อนข้างใจเย็นและผ่อนคลาย ถ้าคุณถามเพื่อนร่วมทีมบางคน พวกเขาก็จะตอบแบบนั้น ผมแค่วางบอลแล้วเตะมันให้เข้าไป”
แต่บางครั้งการจะยิงจุดโทษของเขาก็มีแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น ในเกมกับ อาร์เซน่อล พาลเมอร์ ชนะในการแย่งบอลมาจาก ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เวลานั้นยังอยู่ทีมเดียวกัน ก่อนจะยิงประตูได้
“เขาปล่อยให้ผมยิงที่ เบิร์นลี่ย์ ซึ่งเป็นเรื่องดีจากเขา จากนั้นนัดที่ อาร์เซน่อล ก็มาถึง และผมอยากยิง แต่เขาก็อยากยิง” พาลเมอร์ กล่าว
“ผมไม่อยากแสดงความไม่เคารพต่อเขา เพราะเขาอายุมากกว่า ทำอะไรหลายอย่างในเกมและผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย และเขาก็ช่วยเหลือผมมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่สุดท้ายผมก็ทำแบบนั้นพราะเขาไม่อยากให้มีการทะเลาะและสร้างสถานการณ์ที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมนับถือ ราซ มาก”
อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ทุกคนก็จับตาไปยัง พาลเมอร์ อีกครั้ง เมื่อ เชลซี ได้จุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้สกอร์เสมอ แมนฯ ซิตี้ 4-4 รวมถึงเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวที่เชียร์ทีมเก่าของเขาด้วย “พวกเขาส่วนใหญ่ยินดีกับผมแบบแฟร์ๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่มาก และถ้าผมพลาด ผมคิดว่าทุกคนอาจเกลียดชัง และปฏิกิริยาตอบสนองที่ผมจะได้รับ แต่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องน้ันเลย แค่คิดว่าจะทำประตูให้ได้เมื่อผมวางลูกบอล”
พาลเมอร์ ต้องยับยั้งชั่งใจกับเหตุการณ์นั้น โดยเขาฉลองด้วยการยักไหล่อย่างไม่แยแสในขณะที่ความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วเดอะ บริดจ์ ความสัมพันธ์ที่ยาวนานของเขากับ ซิตี้ เป็นแรงผลักดันให้เขาทำแบบนั้น แต่เขารู้สึกว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เชลซี ก็แน่นแฟ้นมากขึ้นด้วย
“ผมรู้สึกว่าเขากำลังสร้างความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็วเพราะจำนวนนาทีที่พวกเขาให้ผมลงเล่น สิ่งที่ผมทำ การทำประตูและแอสซิสต์จำนวนมาก แฟนๆ ยอมรับผมอย่างดี และผมก็ชอบมาซ้อมทุกวันและไปที่สแตมฟอร์ด บริดจ์”
การปรับตัวกับชีวิตนอกแมนเชสเตอร์ครั้งแรกไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด “นอกสนามมันยากนะ ผมไม่คิดว่าทุกคนจะเห็นแบบนั้น พวกเขาคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีเพราะตอนนี้เขากำลังทำสิ่งนั้นในสนาม แต่การย้ายออกจากครอบครัว ออกจากแมนเชสเตอร์ที่คุณอยู่มาตลอดชีวิตเป็นเรื่องยาก”
“มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างตอนที่ผมกลับบ้านจากการซ้อมและไม่ได้เจอพ่อแม่ “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องฟุตบอล ผมก็ไปคุยกับพ่อไม่ได้ ดูว่าเขาคิดยังไง แน่นอนว่าผมโทรหาเขาได้ แต่มันก็ไม่เหมือนกัน การได้พบปะเพื่อนฝูงและครอบครัว มีการติดต่อทางโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น (ตั้งแต่ย้ายมา เชลซี) ผมคิดว่าการมาที่นี่ช่วยให้ผมเติบโตขึ้นบ้างเช่นกัน แม้ว่าจะต้องอยู่ห่างจากครอบครัวก็ตาม ในช่วงเวลาสั้นๆ ผมคิดว่ามันช่วยผมได้”
ครอบครัวของเขาทำให้ พาลเมอร์ ได้รู้ว่า เซอร์ เอลตัน จอห์น ตำนานเพลงได้เอ่ยชื่อของเขาโดยไม่มีการบอกล่วงหน้าในบทสัมภาษณ์ทางทีวีกับ แกรี่ ลินิเกอร์ โดยชื่นชมการย้ายทีมของเขาและข้อดีของการที่เขาได้ลงเล่นมากขึ้น
“แม่ของผมส่งมันมาให้ผมก่อนโดยบอกว่า 'โอ้ พระเจ้า ดูนี่สิ' มันอยู่ในแชทกลุ่มของครอบครัวและพวกเขาคุยกันเพราะพวกเขาอายุมากกว่าผมมาก ผมดูแล้วก็รู้สึกบ้ามาก แน่นอนว่าผมรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ไม่ได้ฟังเพลงของเขามากนัก”
“เขาพูดถูก ผมรู้สึกว่าด้วยความสามารถที่ผมมี ผมพร้อมที่จะลงเล่นมาสักพักแล้ว แต่คุณก็รู้ว่า แมนฯ ซิตี้ มีขุมกำลังเชิงลึกมากมายแค่ไหน และมันยากแค่ไหน และผมก็ไม่ได้รับโอกาสมากนัก ผมรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว เมื่อ เชลซี บอกว่าพวกเขาจะให้โอกาสแก่ผม ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ”
“นี่คือหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ดังนั้นเพื่อให้โอกาสผมทำเพื่อสโมสรแห่งนี้ ผมคิดว่าผมทำได้ และผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผมทำได้”
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com