เรียบร้อยโรงเรียน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้หลังจบด้วยการเป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่มเอ

ทีมของ เอริก เทน ฮาก เก็บได้เพียงแค่ 4 คะแนนจาก 6 เกม ด้วยผลงานชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 4 ทำได้ 12 ประตูเสียไป 15 ประตู โดยชัยชนะนัดเดียวคือเกมเปิดบ้านเชือด โคเปนเฮเก้น 1-0 ชนิดที่ถ้าเสียประตูจากลูกจุดโทษท้ายเกมคงจบดวยการไม่ชนะใครไปแล้ว ถ้าแบบนั้นต้องบอกว่าศพเละเลย เพราะแค่นี้ก็ไม่สวยแล้ว

แต่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมจบอันดับสุดท้ายของกลุ่มใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อฤดูกาล 2005/06 แม้ตอนนั้นทีมจะอยู่ในมือปรมาจารย์อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ตาม

ตอนนั้นในกลุ่มมี บียาร์เรอัล, เบนฟิก้า และ ลีลล์ ซึ่งทีมก็ต้องลุ้นจนถึงเกมสุดท้ายเช่นกันแต่อยู่ในสถานะที่ดีกว่า ทว่าพวกเขาจบด้วยการแพ้ เบนฟิก้า ที่ก่อนเกมอยู่อันดับสุดท้ายของกลุ่มและสามแต้มจากเกมนี้ทำให้ “เหยี่ยวลิสบอน” ก้าวขึ้นไปอันดับ 2 เข้ารอบน็อคเอาท์ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะเกมเดียวเหมือนกับปีนี้ โดยมี 6 คะแนนจาก 6 เกมจากผลงานชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 2


ไปไล่เรียงนักเตะตัวจริงเกมสุดท้ายนั้น แล้วลองดูว่าในอีก 3 ปีถัดมาที่ทีมได้แชมป์ในปี 2008 นั้นมีใครหลงเหลือกันบ้าง

เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์

ผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ออกสตาร์ทเกมสุดท้ายที่ โปรตุเกส ซึ่งทีมออกนำก่อนจากประตูของ พอล สโคลส์ แต่สุดท้ายมาเสียสองประตูให้กับ โจวานนี่ และ เบโต้

ตัดภาพมาถึงปี 2008 ในเกมชิงชนะเลิศกับ เชลซี เขาคือฮีโร่เซฟจุดโทษของ นิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ยิงในช่วงชี้ชะตาช่วยให้ทีมคว้าโทรฟี่มาครองได้สำเร็จ

แกรี่ เนวิลล์ 

แบ็กขวามากประสบการณ์ผู้อยู่ในทุกความสำเร็จของสโมสร และเป็นเขาที่ทะลุขึ้นมาทางขวาและเปิดบอลมาหน้าประตูให้ พอล สโคลส์ ยิงติด ควิม มือกาว เบนฟิก้า แต่ก็ตามมาไปส่งบอลข้ามเส้นได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตามในเกมชิงชนะเลิศเมื่อปี 2008 ทาง แกรี่ เนวิลล์ เจ็บไม่ได้ลงสนาม แบ็กขวาเป็นหน้าที่ของ เวส บราวน์ ที่เป็นคนเปิดให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งพังประตูขึ้นนำนั่นเอง


ริโอ เฟอร์ดินานด์

ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้ โดยภายหลังจากทีมตกรอบไป ช่วงตลาดหน้าหนาว “ปีศาจแดง” ก็ดึง เนมันย่า วิดิช เข้ามา ซึ่งต้องดิ้นรนในการปรับตัวในช่วงแรกเหมือนกัน

ตัดภาพมาอีก 3 ปีถัดมาทั้งสองคนประสานงานจนเป็นคู่หูที่ได้รับการยกย่องว่าแกร่งที่สุด แม้ว่าจังหวะเสียประตูให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด บอลจะมาโดนเขาอย่างโชคร้าย แต่ก็ยืนหยัดและช่วยทีมคว้าแชมป์ในที่สุด

มิคาแอล ซิลแวสต์

ถูกดึงมาร่วมทีมหลังความสำเร็จคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” เมื่อปี 1999 ซึ่งเจ้าตัวก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นกำลังหลักของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่เกมที่ เบนฟิก้า ไม่สามารถช่วยทีมรอดพ้นความพ่ายแพ้ในฐานะคู่เซนเตอร์กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์

ส่วนในเกมชิงชนะเลิศปี 2008 มิคาแอล ซิลแวสต์ เป็นตัวสำรองและไม่ถูกส่งลงสนาม โดยหลังจบฤดูกาลดังกล่าวเจ้าตัวก็ย้ายออกจากทีมไปอยู่กับ อาร์เซน่อล


จอห์น โอเช

แข้งสารพัดประโยชน์ซึ่งถูกจับไปยืนแบ็กซ้ายในเกมที่ ลิสบอน ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่โดยปกติแล้วเจ้าตัวถูกใช้งานในฐานะอะไหล่ของนักเตะในหลายๆ ตำแหน่ง

ขณะที่เกมชิงชนะเลิศกับ เชลซี ที่ มอสโก เจ้าตัวก็เป็นตัวสำรองไม่ถูกส่งลงเล่นเช่นเดียวกับ มิคาเอล ซิลแวสต์

คริสเตียโน่ โรนัลโด้

สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสที่ในเวลานั้นยังไม่ได้รับการยกย่องอะไรมากมาย แม้ว่าฝีเท้าจะเริ่มขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของ พรีเมียร์ลีก แล้วก็ตาม และเกมนี้ก็เป็นหนึ่งในเกมที่น่าผิดหวังที่สุดของ โรนัลโด้ ที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและโดนเปลี่ยนตัวนาทีที่ 67 ให้ พาร์ค ชี-ซอง ลงเล่นแทน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าตัวก็ยกระดับการเล่นขึ้นมาเรื่อยๆ และในปี 2007/08 ก็เป็นปีที่ โรนัลโด้ โชว์ฟอร์มดีที่สุดกับ “ปีศาจแดง” เลย โดยปีนั้นทำไปรวมทุกรายการ 42 ลูก และ 8 ประตูเกิดขึ้นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และหนึ่งในนั้นคือประตูในเกมชิงชนะเลิศ


อลัน สมิธ

อดีตดาวเตะพันธุ์ดุที่โดน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แปลงร่างจากกองหน้ามาเป็นกองกลางเพื่อหวังให้เป็น รอย คีน คนใหม่ แต่ในเกมที่ ลิสบอน พยายามเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ

อลัน สมิธ อยู่กับทีมถึงปี 2007 และโดนขายให้กับ นิวคาสเซิ่ล โดยในปีสุดท้ายได้ลงเล่นเพียงแค่ 9 เกมในพรีเมียร์ลีก

พอล สโคลส์

เป็นคนทำประตูให้ทีมขึ้นนำ เบนฟิก้า ในนาทีที่ 6 ของเกม และเป็นหัวใจสำคัญกับแทบทุกจังหวะในเชิงบวกของทีมในค่ำคืนนั้น

ในเกมชิงชนะเลิศปี 2008. พอล สโคลส์ ก็ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยอยู่ในสนามถึงนาทีที่ 87 ก่อนโดนเปลี่ยนให้ ไรอัน กิ๊กส์ ลงเล่นแทน


ไรอัน กิ๊กส์

ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างน่าผิดหวังของ ไรอัน กิ๊กส์ ที่ไม่อาจจะช่วยทีมได้มากนัก และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามไปในนาทีที่ 60 ให้ หลุยส์ ซาฮา ลงเล่นแทน

ส่วนในปี 2008 ปีกพ่อมดเป็นตัวสำรองก่อนถูกส่งลงเล่นช่วงท้ายเกมแทน พอล สโคลส์ และก็อยู่ช่วยทีมในช่วงต่อเวลาพิเศษกระทั่งชี้ชะตาด้วยการดวลจุดโทษและชนะไป

เวย์น รูนี่ย์

เช่นเดียวกับ ไรอัน กิ๊กส์ ที่เกมนี้ไม่ได้โชว์ผลงานอะไรมากมายนัก แม้ว่าจะได้อยู่ในสนามตลอดทั้ง 90 นาทีก็ตาม

เกมที่ มอสโก้ ในช่วงเวลานั้น เวย์น รูนี่ย์ ก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการแล้ว โดยอยู่ในสนาม 101 นาทีและโดนเปลี่ยนตัวโดยเป็น นาทีที่ ลงเล่นแทน

รุด ฟาน นิสเตลรอย

อีกคนที่อยู่ในสนามเต็ม 90 นาที และเชื่อมเกมกับเพื่อนได้เป็นอย่างดี แต่ว่าอะไรหลายๆ อย่างมันไม่เป็นใจจนทีมจบด้วยความพ่ายแพ้

และเกมนี้ก็เป็นการลงเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นนัดสุดท้ายให้สโมสรเมื่อ รุด ฟาน นิสเตลรอย โดนขายให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อจบฤดูกาล ส่วนสาเหตุก็อย่างที่รู้กันว่ามีปัญหาขัดแย้งกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ “ป๋า” ก็เลือกว่าจะเก็บใคร-ขายใคร



ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com