ประเด็นร้อนของโลกฟุตบอลในตอนนี้ก็คือเรื่องการตัดสินของ เดอะ ยูโรเปี้ยน คอร์ท ออฟ จัสติช หรือ ศาลยุติธรรมแห่งยุโรป ประกาศว่าทั้ง ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางการก่อตั้ง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก หรือแม้แต่การขวางสโมสรไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันนี้

ชื่อ “ซูเปอร์ลีก” กลายเป็นที่พูดถึงเมื่อปี 2021 เมื่อมีการประกาศ 12 สโมสรชั้นนำของยุโรปที่จะเข้าร่วม โดยมี 6 สโมสรดังของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เชลซี – 3 ทีมจาก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี อย่าง เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน บวกกับอีก 3 ทีมจาก ลา ลีกา สเปน ทั้ง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ แอตเลติโก มาดริด 

นี่คือ 12 สโมสรแกนนำ ซึ่งจะบวกอีก 8 สโมสรที่ยังไม่มีการระบุชื่อสโมสร โดยรวมแล้วทั้ง ซูเปอร์ลีก จะมีทั้งหมด 20 ทีม สโมสรที่ก่อตั้งลีกอันที่จริงแล้วจะมีทั้งหมด 15 ทีม ก็ยังเหลืออีก 3 ทีมที่กำลังพิจารณากันอยู่ ก็มีทีมที่อยู่ในข่ายอย่าง บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ ดอร์ทมุนด์ และอีก 5 ทีม ซึ่ง 15 ทีมที่เป็นสโมสร่วมก่อตั้งจะได้สิทธิ์เข้าแข้งขันอย่างถาวร

ฟังแบบนี้ก็แปลกๆ แล้ว พวก 15 ทีมถาวรเนี่ย ยังไงเอาด้วยอยู่แล้ว เพราะได้เล่นแน่ๆ และแต่ละสโมสรล้วนเป็นทีมที่ดูดแฟนบอลทั้งสิ้น ชื่อชั้นยังไงขายได้แน่นอน เงินเข้ากระเป๋าอื้อซ่า


รูปแบบการแข่งขันก็เหมือนบอลยุโรปเลยคือเล่นกันในช่วงกลางสัปดาห์ของฤดูกาลปกติ ทั้ง 20 ทีมจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม – กลุ่มละ 10 ทีม แข่งขันกันแบบเหย้า-เยือน หา 4 ทีมเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาท์ และการแข่งขันนี้จะไม่กระทบกับการเล่นฟุตบอลลีกหรือฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ

มีการเปิดเผยว่าสโมสรร่วมก่อตั้งจะมีเงินก้อนแรกเข้ามามหาศาลระดับ 3.5 พันล้านยูโร จะมาจัดสรรปันส่วนกัน เรียกได้ว่าพอเห็นเม็ดเงิน พวกสโมสรเหล่านี้เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะมีมหาศาลมากๆ

แต่ทันทีที่มีการประกาศ “ซูเปอร์ลีก” ออกมาก็ทำเอาวุ่นวายกันไปทั้งโลก เพราะทั้ง ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ต่างคัดค้านการแข่งขันนี้ พร้อมขู่ว่าจะลงโทษแบนทุกระดับทั้งสโมสรและนักเตะที่เข้าร่วมจะถูกแบบจากทีมชาติด้วย


นั่นทำให้หลังการประกาศไปไม่ถึง 48 ชั่วโมง บรรดาสโมสรทั้งหลายต่างทยอยประกาศถอนตัวซึ่งเหลือสองทีมจาก สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ที่ยังยืนหยัด และเรื่องนี้ก็เป็นที่พูดถึงอยู่พักนึงก่อนจะเงียบไปกระทั่งล่าสุด ศาลยุติธรรมยุโรป ประกาศว่าทั้ง ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ไม่มีสิทธิ์ห้ามหรือแบนหรือลงโทษใครอะไรทั้งสิ้น

ถึงกระนั้นใน 6 ทีมของ พรีเมียร์ลีก ตอนนี้ 4 ทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และ สเปอร์ส ต่างออกมาแถลงถึงจุดยืนว่าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ที่น่าแปลกคือทั้ง อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล กลับยังไม่ได้ออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องนี้แต่อย่างใด

หลังการแถลงของ ศาลยุติธรรมยุโรป ทาง เบิร์นด์ ไรชาร์ท นายใหญ่แห่ง “เอ 22 สปอร์ตส์” ที่อยู่เบื้องหลัง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ออกมาพูดว่า “ภายใต้แผนงานของเรา สโมสที่แทบไม่เคยเจอกันเลยจะได้แข่งขันกันเป็นประจำบนเวทียุโรป”


“มันจะการันตีการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้นตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของปีเท่านั้น ตอนนี้เรากำลังพูดถึงระบบลีกที่เปิดกว้าง เข้าถึงได้ ได้เปรียบในยุโรปเคียงข้างลีกในประเทศ กับการเล่นช่วงกลางสัปดาห์โดยไม่กระทบต่อลีกในประเทศ”

“ถ้าเราโน้มน้าวสโมสรและโน้มน้าวแฟนๆ ของพวกเขาได้ ทำไมบรรดาแฟนบอลจะไม่เห็นด้วยล่ะ”

มีรายงานว่ารูปแบบการแข่งขัน ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก จะมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งทาง สกาย สปอร์ตส์ สื่อดังของ อังกฤษ ระบุว่าจะมีทีมเข้าร่วมมากถึง 64 ทีม โดยแบ่งออกเป็น 3 ดิวิชั่นด้วยกัน

ลีกสองระดับแรกคือ สตาร์ ลีก และ โกลเด้น ลีก ซึ่งจะมีลีกละ 16 ทีม ส่วนอีก 32 ทีมจะเล่นในลีกระดับที่ 3 ที่จะเรียกว่า บลูลีก ซึ่งการเข้าร่วมจะดูจากผลงานล้วนๆ ไม่มีสมาชิกที่ถาวรอีกแล้ว และจะมีการเลื่อนชั้นและตกชั้นด้วย โดยการเข้ามาเล่นใน บลูลีก จะขึ้นอยู่กับผลงานของลีกในประเทศด้วย


การแข่งขันจะเล่นกันแบบ เหย้าและเยือน ไม่ใช่ทั้ง “เหย้า-เยือน” แบบฟุตบอลลีกที่แข่งขันกันตามปกติ ก็เท่ากับว่าจะมีเกมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 15 นัดต่อปี  เมื่อจบฤดูกาลก็จะมีทีมที่เข้ารอบน็อคเอาท์เพื่อหาแชมป์รวมถึงทีมเลื่อนชั้น-ตกชั้น

ทาง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก รูปแบบใหม่จะไม่เพิ่มวันตามปฎิทินการแข่งขันเกินกว่าการแข่งขันตามปกติที่มีอยู่ และโปรแกรมกลางสัปดาห์จะไม่รบกวนการแข่งขันในประเทศ ส่วนปีแรกนั้นสโมสรที่ถูกเลือกเข้ามาเล่นจะถูกคัดตามเกณฑ์ต่างๆ ตามผลงาน

และที่สำคัญที่สุดคือจะมีกฎ “ความยั่งยืนทางเรื่องการเงินที่แข็งแกร่ง” เพื่อให้แน่ใจว่ามีการแข่งขันที่เท่าเทียมระหว่างสโมสรที่เข้าร่วมนั่นเอง



ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com