ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ยังคงทำผลงานได้ตามเป้าหมายเช่นเดิมหลังบุกไปไล่อัด บอร์นมัธ ที่สนาม วิตาลิตี้ สเตเดียม แบบขาดลอย 4-0 ในเกมลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ในเกมนี้ ลูกทีมของ คล็อปป์ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมแทบทุกคนไล่ตั้งแต่แผงแนวรับ แดนกลาง ไปจนถึงแนวรุก และไม่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดออกมาเลย ซึ่งนับเป็นการเอาชนะคู่แข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดเกมหนึ่งของพลพรรค “หงส์แดง” เลยก็ว่าได้

เมื่อมองไปที่แผงแบ็คโฟร์ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อิบราฮิมา โคนาเต้ นับเป็นคู่กองหลังตัวกลางที่ดีที่สุดของ พรีเมียร์ลีก และเกมนี้ นักเตะ บอร์นมัธ ไม่สามารถทำเกมรุกผ่านด่านพวกเขาทั้งคู่ไปได้เลย นอกจากนี้ ยังมี อลิสซอน เบ็คเกอร์ โกล์ชาวบราซิลที่สร้างความอุ่นใจบริเวณปากประตู

ในเกมนี้ ฟาน ไดจ์ค ทำสถิติบล็อกลูกยิง 5 ครั้ง และเคลียร์บอลจังหวะอันตราย 4 ครั้ง ขณะที่ โคนาเต้ เอาชนะการดวลกลางอากาศ 10 ครั้ง และเอาชนะการดวลตัวต่อตัว 4 จาก 5 และหาก ลิเวอร์พูล ทำให้ ทั้งคู่ไม่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน และฟิตพร้อมลงสนามอย่างสม่ำเสมอ นั้น พวกเขาก็มีโอกาสได้ลุ้นแชมป์ไปจนจบซีซันอย่างแน่นอน

ขณะที่ คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวา วัย 20 ปี ทำหน้าที่ทดแทน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้เป็นอย่างดี แม้ก่อนหน้านี้มีความกังวลพอสมควรก็การหาคนมาลงเล่นในตำแหน่งแนวรับฝั่งขวาในช่วงที่รองกัปตันทีม “หงส์แดง” ได้รับบาดเจ็บ

ฟูลแบ็คทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจอีกครั้ง หลังจากทำสถิติเอาชนะการดวล 6 ครั้ง ตัดบอล 9 ครั้ง และแอสซิสต์ 1 ครั้ง ให้กับ ดิโอโก โชต้า ซัดประตู และยิ่งไปกว่านั้น แบรดลีย์ ดูนิ่งเกินวัยกับการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก เกมแรก

ขณะที่แผงกองกลาง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอด และพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า สามารถยืนปักหลักในตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์ 6 หน้าแผงแนวรับ ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ก่อนหน้านี้ แข้งชาวอาร์เจนไตน์ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เหมาะสมกับหน้าที่ดังกล่าวก็ตาม

กองกลาง “ฟ้าขาว” วัย 24 ปี คุมจังหวะเกมให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างสมดุล และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่กดดันให้กับทีมได้หลายครั้ง และยังทำสถิติความแม่นยำในการส่งบอล 87%, จ่ายบอล 11 ครั้งในจังหวะสุดท้าย เอาชนะการดวลตัวต่อตัว 12 จาก 17 ครั้ง แย่งบอลคืน และแย่งบอลคืน แย่งบอลคืน และสร้างโอกาสได้ 4 ครั้ง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

ส่วนแนวรุก ดาร์วิน นูนเญซ กลับมาเล่นด้วยมีความมั่นใจอีกครั้ง โดยหัวหอกชาวอุรุกวัย ไม่เพียงแต่จะยิง 2 ประตู และแอสซิสต์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพรสซิ่ง เล่นเกมรับ และสร้างจังหวะเกมรุก และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษเพื่อคุกคามแนวรับ บอร์นมัธ อย่างต่อเนื่อง

ฟอร์มการเล่นในนัดนี้ เริ่มมีสัญญาณที่ดีว่า นูนเญซ กลับมาเล่นด้วยความเฉียบขาดอีกครั้ง และจะทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าตัวเป็นผู้เล่นคนแรกใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่ทำได้ 10 ประตู และ 10 แอสซิสต์ อีกด้วย

 ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไปโดยมีแต้มทิ้งห้างทีมอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 เกม โดยนัดต่อไป พลพรรค “หงส์แดง” จะเล่นในฟุตบอลถ้วย คาราบาว คัพ รอบรองฯ กับ ฟูแล่ม ต่อด้วย เอฟเอ คัพ รอบ 4 กับ นอริช ซิตี้

จากนั้น ลิเวอร์พูล จะต้องเล่น “บิ๊กแมทช” ในลีก 2 เกมติดต่อกันด้วยการเปิดรัง แอนฟิลด์ รอรับ เชลซี ต่อด้วยบุกไปเยือน อาร์เซนอล ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ซึ่งเรียกได้ว่า เป็น 2 เกมชี้ชะตาว่า ทีมเวอร์ชั่น 2.0 ของ คล็อปป์ ยังจะอยู่ในกลุ่มลุ้นแชปม์ต่อไปหรือไม่

ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/feature-how-liverpool-strength-when-no-key-players