เอคตอร์ จูเนียร์ ฟีร์โป บอกเล่าช่วงเวลายากลำบากที่เขาเผชิญในช่วงเวลา 2 ปีที่อยู่กับ บาร์เซโลน่า ก่อนจะย้ายมาเล่นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน

บาร์เซโลน่า จ่ายเงิน 18 ล้านยูโรบวกโบนัสอีก 12 ล้านยูโรดึง เอคตอร์ จูเนียร์ ฟีร์โป มาจาก เรอัล เบติส ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 โดยคาดว่าหวังฟูลแบ็กเชื้อสายโดมินิกันจะสามารถแข่งขันกับ จอร์ดี้ อัลบา ในตำแหน่งแบ็กซ้าย แต่สิ่งต่างๆไม่เป็นผลสำหรับเขา 

ทั้งสภาพแวดล้อมที่สับสนอลหม่านของ บาร์เซโลน่า ควบคู่ไปกับปัญหาส่วนตัวของนักเตะนำไปสู่ความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น จนกระทั่งทีมอาซูลกราน่าปล่อย จูเนียร์ ฟีร์โป โยกซบ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโรรวมโบนัส 

ฟูลแบ็กวัย 27 ปีได้บอกเล่าถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากที่เขาต้องเผชิญนับตั้งแต่ย้ายจาก เรอัล เบติส มา บาร์เซโลน่า 'มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเพราะเกมแรก ช่วงเวลานั้นทำให้ผมแย่ลง ผมเริ่มต้นแบบนี้ โดยมีข้อผิดพลาดในเกมแรกในฐานะตัวจริง และยิ่งไปกว่านั้น โค้ชยังถอดผมออกจากสนามในช่วงพักครึ่ง นั่นทำให้คุณเริ่มต้นได้แย่มากพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์'

'เท่าที่ผมพยายามอ่านพวกมัน ทุกวันนี้ทุกอย่างเข้าถึงคุณโดยเฉพาะกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค หลังจากเกมนั้น ผมได้รับความคิดเห็นและคำดูถูกนับพันๆ ข้อความส่วนตัวและการคุกคามนับพันๆ ผมคิดว่า 'มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?' ใช่, โอเค ผมขอโทษ ผมทำผิดพลาด เราแพ้ แต่ผลสะท้อนกลับใหญ่กว่าที่ เบติส มาก'


จูเนียร์ ฟีร์โป มีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับ เรอัล เบติส ในซีซั่น 2018-2019 จนได้รับเสียงชื่นชมมากมาย ก่อนนักเตะจะย้ายมาเผชิญกับโลกแที่แตกต่างกับ บาร์เซโลน่า โดยกล่าวว่า 'ถ้าสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, แมนฯซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล มาหาคุณ มันยากมากที่จะปฏิเสธ ไม่ว่าคุณจะรู้มากแแค่ไหนว่าคุณจะไม่ได้เป็นตัวจริง จอร์ดี้ อัลบา ก็อยู่ที่นั่น แต่ผมรู้ว่าเขาจะไม่ไปไหน'

'ผมรู้ว่าผมจะไม่มีความสำคัญหรือโดดเด่นเหมือนตอนอยู่กับ เบติส แต่เราจะเรียนรู้ ตอนผมอยู่ที่ เบติส ผมพูดคุยเรื่องนี้บ่อยมากกับ โล เซลโซ่ ผมจะไปถึงเส้นหลังแล้วผ่านบอลให้เขา ซึ่งเป็นการเล่นที่พวกเขาทำกับ จอร์ดี้ อัลบา และ เมสซี่ ตอนนี้ผมอยากจะทำแบบนั้นกับ เมสซี่'

จูเนียร์ ฟีร์โป ลงเล่นเพียง 41 เกมในช่วงเวลา 2 ปีที่ บาร์เซโลน่า โดยทำ 2 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ เกมเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในซีซั่นแรกของเขากับทัพอาซูลกราน่า เนื่้องจาก โรนัลด์ คูมัน เทรนเนอร์บาร์ซ่าหลังจากนั้นแทบจะไม่ได้ส่งเขาลงเล่นฐานะตัวจริงในฤดูกาลสุดท้ายของเขา

แบ็กซ้ายวัย 27 ปียอมรับว่าทั้งสองฤดูกาลมีความแตกต่างกันอย่างมาก และเหตุผลเบื้องหลังเกี่ยวกับความยากลำบากที่เขาเผชิญ


'สิ่งแรกคือความผิดหวังในตัวเอง ผมเสียใจมากที่ผมไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันให้ดีขึ้น ผมจะไม่พูดว่าผมออกไปที่สนามด้วยความกลัว แต่ผมคิดว่าผมกำลังถูกตั้งคำถาม หากคุณทำได้ดี 'ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บาร์เซโลน่า พบ มายอร์ก้า พวกเขาดีกว่า พวกเขาต้องชนะ'

'และถ้าคุณทำไม่ดี พวกเขาจะตามล่าคุณ ความรู้สึกของผมคือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะเป็นส่วนหนึ่งในจุดสนใจของการวิพากษ์วิจารณ์หากมีผลการแข่งขันที่ไม่ดี ผมไม่ได้เล่นในแบบที่ผมเล่นที่ เบติส แต่ผมได้ลงเล่นมากกว่าที่ผมคิด'

ในขณะเดียวกัน จูเนียร์ ฟีร์โป ยังเผชิญปัญหาส่วนตัวของเขาในฤดูกาลที่สอง เนื่องจากปัญหาเรื่องสุขภาพของลูกชายของเขาด้วย

'ผมมีโอกาสที่ดีมากที่จะย้ายไป อินเตอร์ แต่ลูกชายคนที่สองของผมเกิดมาพร้อมปัญหาที่ปอด และผมได้ตัดสินใจอยู่ที่ บาร์เซโลน่า ต่อไป เนื่องจากมีการดูแลทางการแพทย์ที่ดีมาก และผมไม่ต้องการย้ายไปต่างแดนหลังจากช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเข้าและออกจากโรงพยาบาล'

'ในทีม พวกเขารู้ดีว่าตราบใดที่ผมมีปัญหากับ คูมัน มีหลายวันที่ผมบอกกับเขาว่าผมอยากอยู่กับภรรยาและลูกชายผม และเขาก็เข้าใจดี'


จูเนียร์ ฟีร์โป เข้ากับ คูมัน ไม่ดีนัก และแบ็กซ้ายวัย 27 ปีหยิบยกประเด็นนี้มาพูดอีกครั้งโดยกล่าวว่า 'ผมไม่คิดว่า คูมัน จะรู้จักผมดีนัก เขาเป็นคนแรกที่บอกให้ผมอยู่ต่อไป แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมได้ลงเล่นมากขึ้น ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่้งที่ อัลบา ได้รับบาดเจ็บ และเขาส่ง (แซร์จินโญ่) เดสต์ ลงเล่นแบ็กซ้าย บางครั้งเขาส่งผมลงเล่นแบ็กขวาบ้าง แต่ก็น้อยมาก'

'ผมมีหลายเกมที่ผมเล่นได้ดี แต่เขาไม่ได้มอบความต่อเนื่องให้ผมเลย จากนั้นผมก็ไม่ได้เล่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผมไม่เข้าใจเรื่องนั้น'

'ในตอนแรก เขากำลังมองหาคำอธิบายถึงการขาดความเกี่ยวข้อง คูมัน ให้คำตอบแก่ผมว่าเขาไม่ซื่อสัตย์กับผม เขาบอกผมว่าผมกำลังทำให้กลุ่มแปดเปื้อน ดังนั้นผมจึงหยุดพยายาม'

แม้จะมีโอกาสลงเล่นน้อย แต่ จูเนียร์ ฟีร์โป ทำได้ดีในการหยุด คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ หลังการลงเล่นฐานะสำรองแทน ออสการ์ มินเกซ่า ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกระหว่างการเผชิญหน้ากันบนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีม นัดสอง ที่ บาร์เซโลน่า บุกเสมอ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1-1 แต่ทีมอาซูลกราน่าตกรอบเนื่องจากการปราชัยคารังในเกมแรก 1-4


'เอ็มบั๊ปเป้ เป็นงานโหดร้ายที่ได้รับมอบหมาย เขามาจากเกมที่ทำแฮตทริค และวันนี้เขายังเริ่มต้นได้ดีมากด้วย (ยิงจุดโทษให้ เปแอสเช นำ 1-0)' จูเนียร์ ฟีร์โป กล่าว 'ในการฝึกซ้อม พวกเขาเห็นว่าผมมีการแข่งขันแบบตัวต่อตัวดีมาก และ คูมัน ส่งผมลงเผชิญหน้ากับ เอ็มบั๊ปเป้ ทั่วทั้งสนาม มันผ่านไปด้วยดี น่าจะเป็นเกมดีที่สุดของผม แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราจะตกรอบก็ตาม'

เมื่อได้รับข้อเสนอจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ช่วงซัมเมอร์ปี 2021 จูเนียร์ ฟีร์โป จึงตัดสินใจย้ายมาเผชิญความท้าทายบนเวทีพรีเมียร์ลีก แต่ตอนนี้ทั้ง บิคตอร์ ออร์ต้า ผู้อำนวยการกีฬาในขณะนั้นย้ายมาทำงานกับ เซบีย่า ส่วน มาร์เซโล่ บีเอลซ่า ถูกปลดออกจากตำแหน่งและมาทำงานฐานะเทรนเนอร์ทีมชาติอุรุกวัยในปัจจุบัน เขาอธิบายถึงการตัดสินใจอำลาทีมอาซูลกราน่าว่า

'คนแรกคือ บิคตอร์ ออร์ต้า ผู้อำนวยการกีฬา เขาอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เขาสนใจในตัวคุณ ในครอบครัวคุณ เขาเป็นคนแรกที่ติดต่อคุณหากคุณได้รับบาดเจ็บ เขาช่วยคุณในหลายๆเรื่องในแต่ละวัน'

'นอกจากนี้ยังมี บีเอลซ่า และสตาฟฟ์โค้ชของเขาที่พูดภาษาสเปน และผมจะสามารถสื่อสารได้ดีมาก แม้ว่าผมจะพูดภาษาอังกฤษด้วยก็ตาม พวกเขาทำได้ดีมากในฤดูกาลก่อนหน้านั้น ใกล้เคียงกับการทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรป'

'แน่นอนว่ามันเป็นพรีเมียร์ลีกด้วย ผมอยากจะเล่นที่นั่น มันเป็นลีกดีที่สุดในโลก ห้องแต่งตัวของ ลีดส์ เป็นหนึ่งในห้องแต่งตัวดีสุดที่ผมเคยอยู่ ดูสิอย่างวัน วันพุธตอน 20.00 น. อุณหภูมิ -3 องศาเซลเซียส คนส่วนใหญ่ต้องทำงานในวันถัดไป และ เอลแลนด์ โร้ด ยังเต็มความจุ และเราเพิ่งตกชั้นมา'


จูเนียร์ ฟีร์โป ยังกล่าวถึงเจ้านายเก่า บีเอลซ่า ที่มีฉายาว่า 'เอล โลโก้' ซึ่งแปลว่าคนบ้าว่า 'เขาบ้านิดหน่อยตามชื่อเล่นของเขา แต่เพื่อสิ่งที่ดีกว่า เขาหมกมุ่นอยู่กับรายละเอียดมาก จนกว่าคุณจะจ่ายบอลดีๆ มันอาจไม่คุ้มค่า และคุณสามารถทำซ้ำได้ 50 ครั้ง มันไม่สำคัญว่าคุณจะทำประตู แต่เนื่องจากลูกบอลที่เคลื่อนที่ไม่ดีกับการโรเตชั่นที่ถูกต้องอย่างที่เขาคิด มันจึงทำได้ไม่ดีนัก'

แบ็กซ้ายวัย 27 ปียังกล่าวถึงการจากไปของ บีเอลซ่า ว่าส่งผลกระทบต่อเขาอย่างไรว่า 'มันเป็นการบอกลาโค้ชยากที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยประสบมา นักเตะทุกคนที่อยู่กับเขามานานหลายปีต่างร้องไห้ในห้องแต่งตัว มันเหมือนกับเมื่อคุณรู้ว่ามีบางอย่างกำลังจะจม แต่คุณอยากให้มันจมไปกับมันมากกว่าเก็บไว้กับคนอื่น'

'มันเป็นแค่ความรู้สึกนั้น เรารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ในเกมสุดท้าย แฟนๆต่างร้องเรียกชื่อเขา มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากสำหรับสโมสร'


ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com