หลังเกมพ่ายแพ้บาเยิร์นมิวนิค ทุกอย่างดูเหมือนจะถาโถมใส่ปีศาจแดงเรื่อยๆ และมันจะมาหลังจากนี้ "อีกเยอะ"แบบไม่หยุดหย่อนแน่นอน นี่คือช่วงเวลาวัดใจแฟนบอลอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน และความเข้าใจทีมอย่างมาก
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับแฟนผีอย่างแท้จริงสำหรับฤดูกาล 2023/24 เมื่อทีมมีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีในหลายๆเกม มีข้อบกพร่องขึ้นหลายๆอย่าง ทั้งประสิทธิภาพการเล่นที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ขาดความสม่ำเสมอ ทั้งยังมีความผิดพลาดส่วนบุคคลอีกหลายๆครั้ง บางทีก็เจอกับการตัดสินไม่เป็นใจ แต่ที่หนักสุดคือสภาพทีมที่ขาดนักเตะไปเป็นจำนวนมากจากปัญหาอาการบาดเจ็บ
ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ประดังกันเข้ามาพร้อมๆกันจนทำให้ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแห่งการเชียร์ทีมที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับแฟนบอลพอสมควร กับการที่หลายๆครั้งต้องผิดหวัง จากการเล่นที่ยังไม่ดี และผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจ
และล่าสุด แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ตกรอบยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกแล้วเป็นที่เรียบร้อยหลังจากพ่ายแพ้ต่อบาเยิร์นมิวนิคคาบ้าน 0-1 พร้อมทั้งตกรอบในฐานะอันดับบ๊วยในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่ได้ไปต่อแม้กระทั่งยูโรปาลีกในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง
และบอกได้เลยว่าความย่ำแย่ที่ถาโถมและกระหน่ำซัดปีศาจแดงจะยังไม่จบแค่นี้ ยังมีอีกเยอะมาก
เกมนัดหน้าจะต้องเยือนลิเวอร์พูลในสภาพร่อแร่แบบสุดๆ ไม่มีทั้งบรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ, น่าจะขาดแฮรี่ แมกไกวร์ ที่เจ็บโคนขาหนีบจากเกมคืนนี้ และนักเตะคนอื่นๆอีกเพียบที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งก็เป็นตัวสำคัญๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคาเซมิโร่ เอริคเซ่น และลิซานโดร มาร์ติเนซ
พูดกันตามตรงว่าขนาดฟูลทีมไปยังยาก ตอนนี้ยูไนเต็ดพิการไปกว่าครึ่งทีม ฟอร์มร่วงกราวรูด ย่ำแย่สุดๆ แถมลิเวอร์พูลยังอยู่ในสถานะจ่าฝูงที่ฟอร์มดีสุดๆ ด้วยทรงการเล่นที่ยอดเยี่ยม และเอาตัวรอดด้วยคาแรคเตอร์ที่แข็งแกร่งมาแล้วหลายนัด ซึ่งต้องยอมรับความเป็นจริงในจุดนี้
เกมกับลิเวอร์พูลเราจึงต้องส่งใจเชียร์ให้ทีมเล่นออกมาให้ดีที่สุด “เท่าที่จะทำได้” ก็พอ หวังแค่นั้น เรื่องผลการแข่งขันทำใจรอล่วงหน้าเลย ขอแค่นักเตะเราสู้ให้เต็มที่แค่นั้นก็พอ
ซึ่งการที่เพิ่งแพ้คาบ้านต่อบอร์นมัธมา 0-3 / แพ้บาเยิร์น 0-1 และกับลิเวอร์พูลที่รอดยากแล้วนั้น ยูไนเต็ดยังมีเกมแข็งที่รออยู่อีกสองเกมต่อเนื่องไปหลังจากนั้นอีก คือการเยือนเวสต์แฮม และเกมกับแอสตัน วิลล่า ที่ฟอร์มนรกแตกขนาดซิตี้และอาร์เซนอลยังเอาไม่อยู่ในตอนนี้
คงเป็นเดือนธันวาคมที่โชกเลือดแบบสุดๆแน่
ในเกมกับบาเยิร์นมิวนิค เราจะเห็นเลยว่าสิ่งที่ทำให้ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ในเกมนี้คือ “มาตรฐานการเล่นของทีม” อยู่ในระดับที่ต่ำมากจริงๆ ทั้งในความเป็นทีม ระบบการเล่นก็สู้ไม่ได้ ทั้งในเรื่องคุณภาพนักเตะรายบุคคลก็เช่นกัน ผู้เล่นหลายๆคนของยูไนเต็ดมี performance ที่แย่มากๆ เมื่อเปรียบมวยกับคู่แข่งตัวท็อปๆอย่างเสือใต้แล้วมันก็ยิ่งเห็นชัด
เห็นชัดอย่างไร?
โอเค จริงอยู่ว่าในช่วงแรกๆทีมพยายามที่จะครองบอลบุก แลกกับบาเยิร์นได้อยู่บ้าง ด้วยปริมาณการครองบอลที่ถือว่าใกล้เคียงกัน เหลื่อมน้อยกว่าบาเยิร์นไม่มาก แต่สิ่งที่เห็นถึงความแตกต่างก็คือ เรื่องของการเล่นที่สร้างสรรค์เกมโจมตีคู่แข่ง บาเยิร์นทำเกมบุกใส่ยูไนเต็ดได้ดีกว่ามาก ทุกครั้งที่ได้บอลขึ้นมามีความน่ากลัวตลอด ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำในการให้บอล, การสร้างสรรค์ช่องทางการเจาะแนวรับแมนยูไนเต็ด รวมถึงการสร้างโอกาสในการยิงจบสกอร์ บาเยิร์นดีกว่าพอสมควร
ส่วนแมนยูไนเต็ด การทำเกมบุกแทบจะไม่มีอะไรให้ได้ลุ้น นั่งดูมาทั้งเกมจังหวะที่ใกล้เคียงมากที่สุดในการทำเกมนี้ ตลอดทั้ง 90 นาที มีแค่ไม่กี่ครั้งที่พอจะได้ลุ้นจริงๆ คือจังหวะที่การ์นาโช่กระชากมาทางซ้ายแล้วตบเข้ากลางมาให้ตัวเข้าฮอร์สแต่ยังติดบล็อคคิมอยู่ กับ จังหวะที่โอนาน่า ออกบอลยาวขึ้นหน้ามาให้ดาโลต์หลุดเดี่ยวๆดวลกับนอยเออร์แบบพอดีเป๊ะ แต่จับยาวไปจนหมดโอกาสอย่างน่าเสียดาย มีแค่นี้จริงๆ
นอกนั้นมันเป็นการเล่นที่ไม่มีประสิทธิภาพใดๆทั้งสิ้นของทีม
การครองบอลไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ต่อยอดไปสู่เกมรุกไม่ได้ นักเตะหลายๆคนเมื่อได้รับบอลต่อในแดนบนแล้ว ผู้เล่นที่ทำเกมรุกของแมนยูไนเต็ดทุกคนไม่สามารถปั้นเกมกันได้เลย บางครั้งต่อบอลกันพลาดง่ายๆ ทำเสียบอลระหว่างที่ยังไม่ได้สร้างโอกาสยิงเลยซะด้วยซ้ำ อูปาเมกาโน่ กับ คิม มิน-แจ แทบไม่เจองานหนักอะไรเลยในวันนี้ เล่นป้องกันไปตามเกมเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องเจอกับความกดดันในพื้นที่สุดท้ายหน้าปากประตูของพวกเขาเลย
โอกาสยิงของแมนยูมีทั้งหมดแค่ 5 ครั้ง ยิงติดบล็อคไป 1 / ยิงหลุดนอกกรอบไป 3 และ ตรงกรอบแค่ครั้งเดียวคือจังหวะที่ลุค ชอว์ ลองส่องจนนอยเออร์ต้องปัดออกไป แค่นั้นเลยจริงๆ ขณะที่บาเยิร์นมิวนิค 11 ครั้ง เข้ากรอบไป 3 และเป็น 1 ประตู
ในยามที่พวกเขาเป็นทีมเยือน และไม่ได้มีสภาวะใดๆที่จำเป็นต้องชนะแมนยูก็ได้ แต่ก็ยังเล่นได้ดีกว่า ทำเกมบุกได้เยอะกว่า และทำประตูจนเอาชนะได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงบอกได้แบบตรงๆเลยว่า แม้สถานการณ์จะบีบบังคับให้ต้องชนะเท่านั้นในคืนนี้เพื่อให้มีสิทธิ์ลุ้นไปต่อ แต่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าที่เราเห็นจริงๆ
การที่ต้องตกรอบแบบแพ้คาบ้าน / จมบ๊วยกลุ่มและไม่ได้ไปต่อแม้กระทั่งยูโรปาลีก เป็นสิ่งที่แฟนผีคงต้องยอมรับว่า มันสะท้อนคุณภาพและเลเวลของทีมเรา ณ ขณะนี้ได้ว่าเราไม่พร้อมจะไปต่อในฟุตบอลระดับทวีปในฤดูกาลนี้ ดังนั้นครึ่งฤดูกาลที่เหลือ เกมการแข่งขันของทีมบางครั้งก็อาจจะเหลือแค่สัปดาห์ละหนึ่งนัดเท่านั้นในบางวีค
เอาจริงๆแล้ว การจะได้ไปต่อในถ้วยยูโรปาลีกมันดีกว่าการตกรอบแล้วไม่ได้แข่งอะไรเลย เพราะนั่นคือโอกาสของการได้พัฒนาการเล่นและประสบการณ์ของทีมต่อไป แฟนบอลอาจคิดว่าไม่ต้องไปเลยนั่นแหละดีกว่าจะได้พักเต็มที่ แล้วโฟกัสในลีกอย่างเต็มประสิทธิภาพ คิดแบบนั้นก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่ผลเสียของการไม่ได้ลงเตะอะไรเลยก็มีเยอะเหมือนกัน ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว เสียหายหลายอย่างพอสมควร
ให้ลองคิดง่ายๆว่าเวทีในการลงเล่นของพวกน้องๆดาวรุ่งของเราอย่าง การ์นาโช่ ฮอยลุนด์ ไมนู ฯลฯ จะหายไปค่อนข้างเยอะ ถ้าเทียบกับการได้แค่ฝึกซ้อมกันเองอยู่ที่แคริงตัน บอลถ้วยยุโรปแม้จะเป็นถ้วยรองยังไงก็ดีกว่าการฝึกซ้อมกันเองอยู่แล้ว ตรงนี้น่าเสียดายมาก
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อดูสถานการณ์โดยรวม เราก็ต้องยอมรับตามตรงและนิ่งนอนใจไม่ได้ว่ามันไม่เป็นอะไร ปีนี้เป็นฤดูกาลที่เรามีปัญหาจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากนี้ ซึ่งมีแย่กว่านี้อีกแน่ๆ ไม่ใช่แค่ตกรอบUCLแล้วทุกอย่างจะจบ ยังมีอะไรให้ปวดตับกันอีกเยอะ
แต่สิ่งที่ผู้เขียนเกริ่นมายาวขนาดนี้ แค่อยากจะบอกว่า เราเห็นกันแล้วใช่ไหมว่าปัญหาของยูไนเต็ดรุมเร้ามากขนาดไหน ปัญหามันเกิดขึ้นทุกส่วน ทั้งในส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ และในส่วนที่เราควบคุมได้ / ปัญหาจากนักเตะในทีมเอง และปัญหาในภาคการบริหารบนมือของผู้จัดการทีมอย่างเอริค เทน ฮาก ทุกๆส่วนของสโมสรต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
ในตอนนี้ ความจริงที่แฟนผีจะต้องยอมรับและคิดเอาไว้ในใจตลอดเวลาคือ “ทีมเรากำลังมีปัญหาอยู่”
ในการเชียร์ทีม ทุกๆเกมที่แมนยูไนเต็ดลงสนาม เราต้องรู้ว่าทีมกำลังย่ำแย่ในหลายเรื่อง เพราะฉะนั้น “ความคาดหวัง” ต่างๆ แฟนบอลอาจจะต้องลดลงไปบ้างเล็กน้อย เช่นจะให้ชนะคู่แข่งฟอร์มสวยๆทุกนัด จะต้องทำให้ได้อย่างที่แฟนบอลต้องการ เช่นต่อบอลกันโบ๊ะบ๊ะแม่นยำ ยิงประตูเฉียบคม เกมรับแข็งแกร่ง ฯลฯ ทีมคงไม่สามารถทำได้อย่างที่เราต้องการแบบเป๊ะๆแน่นอน (ผู้เขียนเองก็มีความคาดหวังกับทีมไม่ต่างกัน ยังต้องลดระดับลงมาเช่นกันหลังจากผิดหวังมาบ่อยครั้งแล้ว)
เราไม่ได้เขียนจะบอกให้คนอ่านหมดอาลัยตายอยาก หรือไม่ต้องลุ้นอะไรทีมอีกแล้ว ไม่ใช่แบบนั้น ก็เชียร์กันเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแค่ว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นทีมมีสภาพอย่างที่เราบอก เช่น เกมรุกแย่ เกมรับรั่ว แผนแทคติกไม่เข้าเป้า ฯลฯ ก็แค่ขอให้ระลึกเอาไว้เสมอ ท่องจำขึ้นใจเอาไว้ว่า “ทีมเรามีปัญหากันอยู่” เพราะงั้นแล้วเรื่องแย่ๆเหล่านี้มันก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นมาได้
ปัญหาที่เราเป็นอยู่ หลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้เลยในชั่วข้ามคืน แม้จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นหลายๆคนที่แฟนบอลไม่ชอบและคิดว่าเป็นต้นเหตุความพ่ายแพ้ออกไปแล้ว แต่ฟอร์มการเล่นของทีมมันก็ไม่ได้กระเตื้องเลย ก็ยังคงแย่ต่อไป เพราะงั้นมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของนักเตะคนใดคนหนึ่ง ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง หรือจะบอกว่าเป็นเพราะแผนการคุมทีมของเฮดโค้ชแค่อย่างเดียวก็ไม่สามารถพูดได้เช่นกัน เพราะบางปัจจัยโค้ชก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆในสนามได้
เมื่อปัญหาเยอะเช่นนี้ ดังนั้นการอดทนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนี้ไปให้ได้ เป็นสิ่งสำคัญมากที่แฟนบอลจะต้องทำ
ปริมาณของปัญหาค่อนข้างเยอะ และหลายอย่างต้องใช้เวลาในการปรับแก้อยู่พอสมควร ไม่สามารถเสกขึ้นมาได้ทันที เราจึงจำเป็นต้องอดทนรอและหวังว่าทีมจะปรับแก้ได้ ทั้งในเรื่องสภาพจิตใจ ทั้งในเรื่องความลงตัวและการสอดรับกันของแทคติกและตัวผู้เล่นที่ลงสนาม ซึ่งยังต้องจูนกันอีกเยอะให้ลงตัว
เรื่องความสม่ำเสมอและทีมชุดหลักที่ต้องหาให้เจอ ก็ยังมีปัญหานักเตะตัวสำคัญๆทยอยเจ็บกันออกไปทีละคน จนไลน์อัพต้องเปลี่ยนกันแทบจะทุกสัปดาห์ ความต่อเนื่องมันจึงแทบจะไม่เหลือสำหรับการทำทีมให้ฟอร์มนิ่งพอจะคุมมาตรฐานของทีมไว้ได้
ล่าสุด นักเตะที่ฟอร์มแข็งแกร่งที่สุดของยูไนเต็ดในช่วงนี้อย่าง แฮรี่ แมกไกวร์ ก็บาดเจ็บออกไปอีก เชื่อว่านี่คือความเสียหายร้ายแรงที่แฟนผีคงจะได้เห็นแล้วว่าทีมเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ในตอนนี้ เมื่อเซ็นเตอร์ตัวหลักก็ยังไม่กลับมา คนที่ดีที่สุดในช่วงแย่ๆแบบนี้ก็เจ็บไปอีก มรสุมหนักมาก นี่คือสิ่งที่เราอยากให้แฟนบอลมองถึงความจริงในข้อนี้ด้วย
ท่ามกลางความผิดหวังและความหงุดหงิด แมนยูมีปัญหาที่แฟนบอลก็ควรจะต้องเห็นใจทีมด้วยจริงๆ
สิ่งที่จำเป็นต้อง “เข้าใจ” ทีม นอกเหนือจากอาการบาดเจ็บที่เป็นประเด็นสำคัญมากๆแล้ว มันส่งผลต่อเนื่องในเรื่องของ Squad Depth ด้วยที่ทีมเรายังขาดอีกเยอะมาก
นักเตะที่เจ็บไป ตัวหลักต่างๆเหล่านี้ทั้งแมกไกวร์ คาเซมิโร่ ลิช่า และตัวผู้เล่นที่บาดเจ็บเข้าๆออกๆอย่าง มาร์กซิยาล แรชฟอร์ด วาราน ถึงเวลาที่ทีมขาดพวกเขาเหล่านี้ไป จะสังเกตได้เลยว่า “ขุมกำลังเชิงลึก” ของแมนยูขาดเยอะมาก
เกมกับบาเยิร์น ม้านั่งสำรองของแมนยูไนเต็ดมีแต่เด็กล้วนๆ แม้กระทั่งตัวความหวังอย่างไมนูเราก็ต้องถือว่าน้องเป็นดาวรุ่งอยู่เช่นกัน ขณะที่เซ็ตแนวรุก เรามีตัวเล่นเพียงพอแค่คนที่ลงสนามเท่านั้น ตัวอื่นๆก็ยังเป็นเด็กล้วนๆ
จะเอาอาวุธและออฟชั่นตัวเลือกลงสนามที่ไหนไปสู้กับเขา เราจะหวังให้ โจ ฮิวกิลล์ ลงไปยิงบาเยิร์นงั้นหรือ?
ในเมื่อสำรองมีแค่นั้น และทีมจำใจต้องใช้ฮอยลุนด์วิ่งยันจบเกม ทั้งที่สภาพร่างกายน้องไม่พร้อม สังเกตว่าช่วงสิบนาทีสุดท้ายฮอยลุนด์ก้าวขาแทบจะไม่ออกแล้ว
ปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บ สะท้อนเรื่อง Squad Depth ได้ดี และต่อเนื่องมาด้วยความเป็นจริงอีกอย่างที่แฟนบอลควรต้องเข้าใจทีมว่า เรากำลังอยู่ในช่วงผลัดใบสร้างทีมนักเตะอายุน้อยขึ้นมาใหม่
ตัวหลักหลายๆคนยังเป็นดาวรุ่งที่อายุแค่ 18-20 เท่านั้นเอง ทั้งไมนู การ์นาโช่ ฮอยลุนด์ พวกนี้เป็นเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น หลายๆครั้งน้องเหล่านี้อาจจะยังทำเกมได้ไม่จะแจ้งเท่ากับตัวรุกชั้นอ๋องของทีมอื่นๆ
ฮอยลุนด์อาจจะยังไม่ได้ครึ่งเดียวของมิติการเล่นฮาลันด์ / การ์นาโช่อาจจะปั้นเกมได้ไม่เท่าโดกู กรีลิช ดิอาซ มาร์ติเนลลี่ ฯลฯ / ค็อบบี้ ไมนู สภาพร่างกายยังอยู่ระหว่างพัฒนา ซึ่งก็เสียเปรียบพวกเสือสิงห์กระทิงแรดของทีมฝั่งตรงข้ามอยู่แล้ว
อยากจะให้มองดูที่ดาวรุ่งเหล่านี้ให้ดีๆว่า ทีมเรามีเด็กอยู่เยอะมากๆที่อยู่ในช่วงกำลังขัดเกลาฝีเท้า เพราะงั้นแล้วเราอาจต้องให้โอกาส และยอมรับการเล่นของพวกเขาที่ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ซึ่งต้องระมัดระวังไม่รีบเร่งมากจนเกินไปด้วย
นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่แฟนบอลต้องเข้าใจ เมื่อหันมาดูที่อายุของนักเตะตัวหลักหลายๆคนที่ว่านี้
หลายมิติ หลายประเด็นที่ทีมเรามีปัญหาอยู่ ต้องใช้เวลาอย่างแท้จริง กว่าจะไปถึงจุดที่เราผ่านไปได้ สิ่งที่แฟนบอลจะต้องทำคือ เข้าใจให้ได้ว่าทีมเรากำลังย่ำแย่และประสบปัญหาอยู่ และต้องอดทนเชียร์เพื่อผ่านพ้นมันไปให้ได้
บางครั้งการแก้ปัญหาอย่างที่แฟนบอลคิดอยู่ เช่นจะให้ปลดผู้จัดการทีมเลยทันทีทันใดนั้น อาจจะส่งผลร้ายกับทีมมากกว่าเดิมก็ได้
เราเข้าใจดีว่าหลายคนที่อ่านบทความนี้ก็อาจจะมีความคิดแย้งขึ้นมาว่า ทำไมเราต้องอดทน ทำไมไม่หาทางแก้ปัญหา ซึ่งหนึ่งในหลายวิธีคือการเปลี่ยนผู้จัดการทีม จุดนี้มันคือการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ขาดความยั่งยืนมากๆ สโมสรทำวิธีนี้มาบ่อยครั้งแล้ว เราต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมในระยะสั้นมาหลายครั้ง
มันอาจจะดีขึ้นในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายแล้วระยะยาวมันไปไม่รอด ซึ่งถ้าทำได้แค่ดีขึ้นช่วงระยะเวลาเดียว แล้วก็กลับมาวนลูปฟอร์มตก > ปลดโค้ช > ตั้งโค้ชใหม่ > ฟอร์มดีขึ้น > ฟอร์มดรอป > ปลดโค้ช … อยู่แบบนี้ สโมสรจะไม่สามารถออกจากปลักโคลนแห่งความล้มเหลวได้เลย
การปลดและเปลี่ยนผู้จัดการทีม สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้นแค่ช่วงหนึ่งจากการเปลี่ยนกลิ่นใหม่ เปลี่ยนแรงจูงใจหน้างานสักพัก ลดแรงต้านของแฟนบอลได้แน่นอนในเบื้องต้น
แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง หากทำไปทำมาแล้วฟอร์มแย่เหมือนเดิม ขุดทีมไม่ขึ้นเหมือนเดิม เชื่อได้เลยว่าความอดทนของแฟนบอลก็จะอยู่ในแบบเดิมๆ แล้วก็เข้าลูปไล่ ผจก เช่นเคย เหมือนที่เคยไล่โอเล่ ไล่ราล์ฟกันแบบสาดเสียเทเสียมาแล้ว
สรุปคำตอบของสิ่งที่ได้ก็คือ ดีขึ้นแค่ระยะสั้นช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่โอกาสในการจะสร้างทีมใหม่ก็ต้องไปเริ่มต้นจาก 0 กันอีกครั้ง
กลับกัน หากว่าสามารถอดทน และผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปกับผู้จัดการทีมระยะยาวได้นั้น ให้ลองคิดง่ายๆว่า ถ้าแมนยูผ่านพ้นอุปสรรคแบบตอนนี้ไปได้ ถึงเวลามีเทิร์นพอยท์ที่ทำให้ทีมลืมตาอ้าปากและ “เอาตัวรอด” ได้นั้น มันก็ไม่ต่างจากตอนที่จะไปหาคนใหม่มาแล้วพาทีมเอาตัวรอดเหมือนกัน
แต่สิ่งที่จะตามมาคือ หากเราให้โอกาสผู้จัดการตอนนี้แก้ปัญหาไปก่อนในระยะยาว ถ้าทำได้สำเร็จ ถึงเวลานั้นทีมไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ และเราจะสามารถต่อยอดจากงานเดิมที่สร้างมาแล้ว 1-2 ปีต่อเนื่องไปได้เลย
ปีแรกอาจจะเป็นการลองงาน ปีที่สองคือความพยายามต่อยอด ซึ่งก็เป็นหนึ่งในการลองผิดลองถูก ทั้งแผน ทั้งนักเตะใหม่ มันก็ยังอยู่ในเส้นทางของ Process การพัฒนาทีมที่สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะการต่อยอดทีมมันก็มีผลออกมาแค่สองรูปแบบใหญ่ๆเท่านั้นแหละ คือต่อยอดแล้วเข้าเป้า กับ ต่อยอดแล้วไม่เวิร์ค
สิ่งที่ผู้จัดการเก่าจะได้รับก็คือ การลองผิดลองถูกที่จะนำฐานข้อบกพร่องตรงนี้ไปพัฒนาทีม และแก้ไขให้มันตรงจุดมากกว่าเดิมในฤดูกาลต่อๆไปนั่นเอง ซึ่งนั่นคือ long-term process ที่จะต้องเดินหน้าไปพร้อมกับ planning ซึ่งค่อยๆทำต่อไปทีละขั้นตอนนั่นเอง
เวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนการนี้เพื่อจะทำให้สโมสรสามารถก้าวไปถึง Goal ที่วางไว้ผ่านแผนงานในครั้งนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับเวลาและโอกาส มันจะไม่มีวันไปถึงสิ่งที่แฟนบอลต้องการได้เลย เพราะต่อให้คนใหม่เข้ามา คุณก็ต้องให้โอกาสและให้เวลาเขาไม่ต่างกัน
ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่เราเขียนมานี้ ก็หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพหลายอย่างได้ชัด ทั้งความย่ำแย่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตอนนี้จริงๆจังๆที่เรากำลังเป็นกันอยู่ และหนทางการแก้ปัญหาที่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งภาพรวมในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นหน้าที่ของแฟนบอลอย่างเรา ก็มีเพียงแค่ว่าต้อง “เข้าใจ” ให้ถ่องแท้ว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหาที่จุดไหนบ้าง, ต้องเข้าใจว่าทีมกำลังอยู่ในสภาพและสภาวะอย่างไร และเข้าใจถึงวิธีการว่าจะต้องทำอะไรต่อหลังจากนี้
ทุกอย่างตั้งอยู่บนเงื่อนไขของเวลาและโอกาส ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้นั้น แฟนบอลต้องอดทนอยู่กับมันให้ได้ ในสภาวะย่ำแย่แบบนี้เราจะต้องอยู่กับมันให้ได้
แต่ไม่ได้จะให้ต้องอดทนไปกับความแย่ตรงนี้ไปตลอด
เพราะถ้าถึงเวลาที่ทุกอย่างมันไปต่อไม่ได้ ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี ผู้เขียนเองสนับสนุนกับการเปลี่ยนเช่นกัน ไม่ได้จะให้ทนกันไปตลอด อย่างในเกมวันนี้ทีมฟอร์มแย่ ทำไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น เขาก็ต้องรับผิดชอบเต็มๆเหมือนกันเราก็วิจารณ์กันได้ ถ้ามันถึงเวลาที่ทุกอย่างตัน และไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เราก็สนับสนุนให้ปลดหรือเปลี่ยนแน่นอน ไม่มีปัญหา
และเชื่อว่าแฟนผีหลายๆคนก็ไม่ติดในเรื่องนี้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเอริค เทน ฮาก แค่คนเดียว โค้ชคนอื่นก็ยังมีอีกหลายคนที่น่าลองดึงเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นซีดาน เดอแซร์บี้ คาร์ริค ฯลฯ บนโลกนี้ไม่ได้มี EtH เหลือเป็นผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่ต้องเกาะเอาไว้ขนาดนั้น เราไม่จำเป็นต้องมอง EtH ว่าดีเลิศเกินกว่าความเป็นจริง
หากมันถึงทางตันจนหมดสภาพจริงๆค่อยว่ากัน แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้นก็ต้องเดินต่อไปก่อน
อย่างที่เกริ่นมาแล้วว่าปัญหาของเราในตอนนี้มันเยอะ และค่อนข้างซับซ้อน เรื่องที่ต้องแก้มันมีเยอะมาก ตั้งแต่ภาคการบริหาร ตั้งแต่โครงสร้างของบอร์ด การทำทีม นโยบายและคุณภาพการเสริมทัพ การทำงานของโค้ช คุณภาพของผู้เล่น ฯลฯ ปัญหามันมีหลายจุดและไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าแก้ไขแค่จุดใดจุดหนึ่งแล้วมันจะดีขึ้นทันตาเห็นเลย
ยามที่ทีมอันเป็นที่รักของเรากำลังเพลี่ยงพล้ำและล้มลงอย่างไม่เป็นท่า สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือส่งพลังใจของแฟนบอล เชียร์ทีมให้ลุกขึ้นมาให้ได้ เชียร์ทีมให้รีบแก้ปัญหาต่างๆให้สำเร็จให้ได้ ทีมยิ่งแย่ยิ่งเล่นห่วยเท่าไหร่ ยิ่งต้องฮึดและปลุกแรงเชียร์ขึ้นมาเท่านั้น
การด่าซ้ำเติมกันไปมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมานอกเสียจากแค่การระบายอารมณ์ผิดหวังเท่านั้น บางคนถึงขั้นสาปแช่งให้ทีมตัวเองแพ้เละไปเยอะๆเพื่อจะได้ปลดคนที่ไม่ชอบออก สุดท้ายแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเข้าลูปเดิมๆอย่างที่เห็น
มอยส์ > ฟานกัล > มูรินโญ่ > โอเล่ > ราล์ฟ รังนิค ปลดอย่างที่บอร์ดต้องการ เปลี่ยนอย่างที่แฟนบอลต้องการ ใช้เงินซื้อเพื่อแก้ปัญหา แต่สุดท้ายไม่มีอะไรดีขึ้นมา เมื่อฐานยังอ่อนแออยู่ ตั้งทรงขึ้นไปกี่ครั้งมันก็ล้มเหลวทุกครั้งอย่างที่เห็นนั่นเอง
ในฐานะแฟนผีด้วยกัน เราเข้าใจความผิดหวังนี้เป็นอย่างดี ก็ได้แค่นำเสนอมุมมองในด้านนี้ดู ถ้าผู้อ่านเข้าใจ และนึกภาพออกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันควรจะเดินหน้ายังไงต่อในเวลาเลวร้ายแบบนี้ก็จะดีมาก
จากนี้ก็เชียร์ต่อไปเหมือนเดิม จะดึกแค่ไหนก็ตื่นมาเชียร์ไม่ต่างจากตอนฟอร์มดี ถึงแม้เกมหน้าและเกมต่อๆไปเราจะรู้อยู่แล้วว่าทีมคงไม่ชนะหรอก เดี๋ยวก็แพ้ผิดหวังให้ได้เห็นอีก (ยิ่งต้องเจอลิเวอร์พูล วิลล่าด้วย) แต่ทางเลือกสำหรับเราก็มีแค่ต้องอดทนและสู้ต่อไปให้ได้เท่านั้น ทำหน้าที่ในส่วนของ supporter ให้เต็มที่ แล้วก็เฝ้าดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงก็เชียร์เหมือนเดิม
ที่ต้องเพิ่มเติมคือความอดทน
#BELIEVE
-ศาลาผี-
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com