ตลาดซื้อขาย เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
ลิเวอร์พูล พลาดการได้ตัว “มอยเซส ไกเซโด้” และ “โรเมโอ ลาเวีย” 2 นักเตะเป้าหมาย ที่ตัดสินใจเลือกย้ายไปร่วมทีมเชลซี
กระนั้น ลิเวอร์พูล สามารถหาตัวตายตัวแทน จากการคว้าตัว “วาตารุ เอ็นโด” ดาวเตะจากสตุ๊ทการ์ท สโมสรชื่อดังในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ด้วยค่าตัวประมาณ 18 ล้านยูโร
เอ็นโด ในวัยก้าวเข้าสู่เลข 30 ถูกดึงเข้ามาช่วยเติมพลังงานในแดนกลางของลิเวอร์พูล ที่เสียผู้เล่นแกนหลักไปหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นเจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมถึงฟาบินโญ่ ที่คือรอยโหว่ขนาดใหญ่ ที่ทีมจำเป็นต้องแก้ไข
ช่วงนี้ เราขออาสานำไปทำความรู้จักกับเอ็นโด กันหน่อย ลองไปดูกันว่า เขาสามารถนำอะไรเข้ามาสู่ทัพ “หงส์แดง” ได้บ้าง
“วาตารุ เอ็นโด” เกิด และเติบโตที่ โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เขาเริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง ด้วยการเป็นเด็กเยาวชนของโชนัน เบลมาเร่ ก่อนจะก้าวมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น พร้อมกับผ่านการพาทีมคว้าแชมป์เจลีก 2 มาแล้ว
โปรดอย่าเข้าใจผิด เอ็นโด ในช่วงวัยรุ่น ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเตะอะไหล่เสริม เขาก้าวมาเป็นนักเตะตัวหลัก ที่ลงสนามอย่างสม่ำเสมอกับโชนัน เบลมาเร่ กระทั่งในปี 2016 เอ็นโด ถูกทีมใหญ่ของประเทศอย่างอูราวะ เร้ด ไดมอนด์ส คว้าตัวไปร่วมทีม
ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน เขาก็พาทีมชาติญี่ปุ่น รุ่นอายุต่ำกว่า 23 ปี ผงาดคว้าแชมป์เอเชีย เป็นผลสำเร็จ เอ็นโด กลายมาเป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น แม้ด้วยวัยเพียงน้อยนิด เขากลับแสดงความเป็นผู้นำออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ตำแหน่งที่เขาถนัดมากที่สุดคือ กองกลางเชิงรับ พร้อมกับมีความยืดหยุ่น ด้วยการขยับลงไปเล่นเป็นปราการหลังตัวกลาง เอ็นโด ขึ้นชื่อในเรื่องของระเบียบวินัยในการเล่นมาก หรืออาจเรียกได้ว่า เขาเป็นนักเตะที่เล่นตามคำสั่งโค้ชอย่างเคร่งครัด
พร้อมกับเป็นนักเตะที่มีพลังงานเปี่ยมล้น และวิ่งแบบไม่มีหมดตลอดทั้งเกม เพื่อตัดการลำเลียงบอล และสร้างความยากลำบากให้กับแดนกลางคู่ต่อสู้ ถือเป็นปราการด่านแรก ก่อนที่บอลจะทะลุไปถึงแผงหลัง
ด้วยความสามารถเหล่านั้น ทำให้เขาได้ย้ายไปเล่นในยุโรปครั้งแรกกับแซงต์ ทรุยดอง หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในลีกเบลเยี่ยม 1 ฤดูกาล เขาก็ถูกสโมสรอย่าง สตุ๊ทการ์ท ยืมตัว และซื้อขาดในเวลาต่อมา
ผลงานในบุนเดสลีกา ที่เขาฝากเอาไว้กับสตุ๊ทการ์ท ตั้งแต่เขาย้ายมาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ ในฤดูกาล 2020-21 โดยเป็นผลงานรวม เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับนักเตะในตำแหน่งกองกลาง ที่เล่นในศึกบุนสเดสลีกา
เอ็นโด เหนือกองกลางทุกคนในบุนเดสลีกา เริ่มจากการเป็นนักเตะที่ชนะการครองบอลมากที่สุด (ในพื้นที่สุดท้ายของแนวรับ) ที่จำนวน 254 ครั้ง นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเตะที่เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศมากที่สุดที่ 219 ครั้ง ทั้งที่มีส่วนสูง178 เซ็นติเมตรเท่านั้น
ตามมาด้วย การเป็นนักเตะที่เคลียร์บอลมากที่สุดที่ 175 ครั้ง รวมถึงการเคลียร์บอลจากลูกโหม่งมากที่สุดที่ 105 ครั้ง ส่วนสถิติรองลงมา ในฐานะกองกลาง กับการเป็นอันดับ 2 ของบุนเดสลีกา นั่นคือ การเป็นนักเตะที่จับบอล 6,511 ครั้ง
ตามมาด้วยการผ่านบอลสำเร็จ เป็นจำนวนถึง 3,940 ครั้ง และครองบอลกลางสนาม 404 ครั้ง หากใครกลัวเรื่องร่างกายของนักเตะเอเชีย เอ็นโดะ ก็เป็นนักเตะที่เข้าปะทะมากสุดเป็นอันดับ 2 ในบุนเดสลีกา ที่จำนวน 208 ครั้ง
จากสถิติที่ออกมา เราอาจกล่าวได้ว่า เอ็นโดะ คือแข้งในตำแหน่งกองกลางที่มีผลงานอยู่ระดับแถวหน้าของบุนเดสลีกา อย่างมีนัยยะสำคัญ อย่าลืมว่า นี่คือการสร้างสรรค์ผลงาน กับทีมที่มีผลงานต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุด
นี่คือสิ่งที่ลิเวอร์พูล สามารถคาดหวังกับเอ็นโดะ นั่นคือระเบียบวินัย ในการเล่นเกมรับ ตามแบบฉบับ “นักรบซามูไร” ถือเป็นการเพิ่มเติมพลังงานที่ขาดหายไปของทีมได้เป็นอย่างดี
หนึ่งสิ่งที่ลิเวอร์พูล ได้จากตัวของเอ็นโดะ อย่างแน่นอน นั่นคือความเป็นผู้นำในสนามแข่งขัน เขาถูกแต่งตั้งจากสตุ๊ทการ์ท และถูกมอบความไว้วางใจจากบรรดาเพื่อนร่วมทีม ด้วยการเป็น “ผู้จัดการทีม”
อย่างที่เราทราบกับ นักเตะสายเลือดเอเชีย ในจำนวนที่น้อยเอามากๆ ที่สามารถก้าวมาเป็นกัปตันทีมของสโมสรใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ส่วนในนามทีมชาติญี่ปุ่น เอ็นโดะ ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในเรื่องของความเป็นผู้นำ ถือว่าหายห่วงเลยทีเดียว
สเวน มิสลินทัต ผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ทการ์ท ออกมากล่าวถึงเอ็นโดะ เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยบอกว่า “ในฐานะนักฟุตบอล และในฐานะบุคคลคนหนึ่ง เอ็นโดะ มีคุณค่าอย่างน่าเหลือเชื่อ”
“เอ็นโด เป็นจุดศูนย์รวมในระบบการเล่นของเรา ไม่ว่าเขาจะเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค หรือมิดฟิลด์ตัวรับ ผลงานในสนามของเขา เป็นเรื่องที่โชคดีของเรา ที่มีเขายืนประจำการ พร้อมกับงัดผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมา”
ขณะที่เปเยกริโน่ มาตาราซโซ่ อดีตกุนซือของทีม ออกมากล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในการที่กัปตันทีมของสโมสร สามารถพาลูกทีมเดินหน้าไปพร้อมกันได้”
“เขาได้แสดงถึงคุณค่า ทำให้เราสามารถยืนหยัด และเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ในการที่ให้ลูกทีมปฏิบัติตาม ผมเลือกวาตารุ เอ็นโดะ เข้ามาสู่ทีม เพราะเขาเปรียบเหมือนกับผู้คุ้มกัน และหัวใจของทีม”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การย้ายมาเล่นในศึกบุนเดสลีกา ช่วยพัฒนาขีดความสามารถของเอ็นโดจนก้าวไปอยู่ในอีกระดับ ระเบียบวินัยในแดนกลาง ทำให้เขาพิสูจน์ตัวเองในศึกบุนเดสลีกา และก้าวมาเป็นกองกลางระดับแถวหน้าของลีก
เอ็นโด กล่าวว่า “ผมคิดว่า เกมโดยรวมของผมพัฒนาขึ้นมาก แน่นอนว่า การเล่นในลีกที่ยากขึ้น ต้องการความก้าวหน้าในทักษะ การพัฒนาในด้านเทคนิค, ร่างกาย รวมถึงความเร็วในสนามแข่งขัน ที่เพิ่มมากขึ้น ทักษะของผมในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับ ก็พัฒนาขึ้น”
“บางที ความสามารถของผม ในการเอาชนะการแย่งบอลกลับคืนมา ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกม ที่ผมพัฒนาขึ้นมากที่สุด ผมทำงานหนัก เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ มันช่วยปรับปรุงสภาพร่างกายโดยรวมของผม และวิธีที่ผมใช้ร่างกาย ในระหว่างการแข่งขัน”
นี่คือมุมมองของเอ็นโด เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง สื่อหลายสำนักมองว่า สไตล์การไล่บอล และการแย่งบอลของเขาจะสามารถเติมเต็มลิเวอร์พูล
ปิดท้ายกันด้วยสถิติเล็กๆน้อยๆ นั่นคือทุกครั้งที่ “เยอร์เก้น คล็อปป์” พาทีมคว้าแชมป์ลีก ไม่ว่าจะเป็นบุนเดสลีกา กับดอร์ทมุนด์ หรือว่าพรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูล เขาจะมีนักเตะญี่ปุ่น อยู่ในทีมด้วยเสมอ นั่นคือ “ชินจิ คากาวะ” และ “ทาคูมิ มินามิโนะ”
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com