ถ้าจะมีโอกาสไหนสักโอกาสที่เหมาะกับการจะบุกไปเอาสามแต้มได้ถึงถิ่นเซนต์เจมส์ปาร์คแล้วนั้น เกมสัปดาห์นี้คือโอกาสดีมากที่แมนยูไนเต็ดจะต้องเน้นและไปเอาสามแต้มล้ำค่านี้มาให้ได้ ในยามที่พวกเขาพิการเกินครึ่งทีมในตอนนี้ และนี่คือการลั่นกลองรบเปิดศึกสำคัญเพื่อแย่งพื้นที่กดดันท็อปโฟร์ของทั้งสองทีม
เกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้ในเวลาตีสามของคืนวันเสาร์ที่2 (เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม) จะเป็นการเจอกันของสองทีมที่กำลังอยู่ในสถานะคล้ายๆกัน ระหว่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับการเป็นสโมสรที่อยู่ในสถานะของการสร้างทีมขึ้นมาเพื่อขึ้นไปท้าชิงสามทีมท็อปด้านบนสุดอย่าง อาร์เซนอล แมนซิตี้ ลิเวอร์พูล
แมนยูกับนิวในช่วงรอบปีที่ผ่านมานี้ถือว่ามีซัมธิงกันอยู่บ่อยๆ ทั้งการแย่งชิงอันดับโควตาUCLตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว รวมถึงการหลุดเข้าไปเจอกันในรอบชิงคาราบาวคัพ ปีนี้ก็เพิ่งเจอกันและโดนล้างแค้นไปแล้วเรียบร้อย ด้วยขนาดของทีม เลเวลของทีม ตอนนี้ก็ถือว่า แมนยู-นิว เป็นคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันในด้านศักยภาพ ถ้าไม่ได้มองในแง่ร้ายมากเกินไปขนาดนั้นจากการแพ้เกมล่าสุดมา สองทีมนี้สู้กันสามารถออกได้ทุกหน้า
แล้วแต่ว่าเกมไหน ใครจะวางแผนได้ดี มีจังหวะและใช้โอกาสได้ดีกว่าเท่านั้นเอง ทั้งสองทีมนี้แพ้ชนะกันได้ทั้งคู่เอาจริงๆ
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงเกมนัดสำคัญนัดนี้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเดือดและร้อนระอุพอสมควรกับบรรยากาศแฟนบอลฮึกเหิมที่สนามเซนต์เจมส์ปาร์ค มาดูความพร้อมของนิวคาสเซิล และ แมนยูไนเต็ด ก่อนเกมที่จะเจอกันในคืนวันเสาร์(เช้ามืดวันอาทิตย์นี้) ในเวลาตีสาม ขุนพลปีศาจแดงที่จะบุกไปเยือนนิวคาสเซิล จะได้การกลับมาของ “มาร์คัส แรชฟอร์ด” คืนสู่ทีมหลังจากนัดที่แล้วแรชชี่โดนแบน ไม่ได้ลงสนาม ทีมเลยยิงกันเยอะ (หยอกกกกกๆๆๆ ขอโทษๆแรชชี่น้องรัก)
ส่วนราสมุส ฮอยลุนด์ ก็น่าจะไม่มีปัญหา จะได้กลับมายืนค้ำหน้าเป้าลงล่าตาข่ายในเกมนี้เช่นกัน หลังจากโดนเปลี่ยนออกในนาทีที่ 58 ด้วยเหตุผลที่หลายๆคนยังไม่รู้นั่นก็คือเรื่องของprocessการเรียกความฟิตที่น้องยังไม่เต็มร้อย จึงต้องค่อยๆใช้งานอย่างเหมาะสมด้วยความระมัดระวังอย่างที่เห็น เรื่องนี้คือข้อจำกัดทางด้านร่างกายของฮอยลุนด์ที่ต้องค่อยๆใช้ลงสนามไม่ให้หนักมากจนเกินไป
สองคนนี้ลงได้แน่ๆ แต่นักเตะที่ยังไม่พร้อมก็มีอีกเป็นหางว่าว ไม่ว่าจะเป็นสองคู่หูตัวตึง ลิช่า-คาเซมิโร่ จะพลาดการลงเล่นแน่นอนแล้ว แม้จะเพิ่งมีภาพกลับมาออกกำลังเบาๆที่แคริงตันก็ตาม ส่วน คริสเตียน เอริคเซ่น ยังต้องใช้อีกราวๆ 3 สัปดาห์โดยประมาณ เช่นเดียวกับ เมสัน เมาท์ ด้วย
จอนนี่ อีแวนส์ เพิ่งไปรับเครื่องราชฯ ชั้นMBE มาที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม ยังไม่มีภาพที่เขากลับมาฝึกซ้อมล่าสุดกับทีม น่าจะยังไม่ได้มีชื่อกลับมาสู่ทีมเช่นกัน ส่วนอีกสองคนที่เจ็บยาวอย่าง อามัด เดียโล่ กับ ไทเรลล์ มาลาเซีย ก็ยังต้องใช้เวลาต่อไป
ดังนั้นนักเตะที่สามารถลงสนามได้ก็ยังเป็นตัวเล่นชุดเดิมที่ลงสนามกันในช่วงนี้ ซึ่งแม้จะมีปัญหาบาดเจ็บอยู่แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณดีๆที่เกมรุกเริ่มกลับมายิงกันได้ไหลลื่นเหมือนเดิมแล้วจากสองเกมหลังสุดที่กระซวกประตูคู่แข่งได้ถึง 6 ลูก ก็ถือว่าเป็นกระแสการเล่นที่ดีขึ้นในบางแง่มุมของทีม
ในส่วนของขุมกำลังสำรอง นอกจากตัวหลักๆที่อยู่ในสถานะ squad player อยู่แล้วอย่างพวก เรกีลอน วาราน ดาโลต์ อัมราบัต นักเตะดาวรุ่งของทีมเราที่ถูกดันขึ้นมาช่วยงานในม้านั่งสำรอง ยังมีสามพระหน่อ โจ ฮิวกิลล์, นักเรียนนายร้อยแดน กอร์ และตัวแบ็คอัพเคียงข้างขาประจำอย่าง ฟาคุนโด้ เปลลิสตรี อีกหนึ่งคน
รวมถึง “ค็อบบี้ ไมนู” ที่สถานะตอนนี้แฟนผีเริ่มพร้อมใจที่จะยกให้เขาขึ้นมาเป็นตัวหลักให้ทีมเราได้แล้ว จากคลาสการเล่นที่เหนือชั้นซึ่งแสดงให้เห็นในสองเกมที่ผ่านมา หลังจากหายมาจากอาการบาดเจ็บ ฝีเท้าของไมนูเริ่มฉายแสงให้เห็นไอเดียของเทน ฮากแล้วว่าต้องการอะไรจากเด็กคนนี้
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ค่อยมีใครพูด แต่มีข้อสังเกตอยู่จากเกมนัดล่าสุด นั่นก็คือ “ตัวสำรองของแมนยูไนเต็ด” ในเกมล่าสุดที่เพิ่งผ่านมา หันไปดูบนม้านั่งสำรองดีๆก็มีแต่เด็กดาวรุ่งแทบจะทั้งนั้น ไม่ค่อยเหลือตัวสำคัญๆไว้เปลี่ยนเกมเลย มันจึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เราต้องพัฒนานักเตะตัวเปลี่ยนให้มีคุณภาพมากกว่านี้ในแง่ของ Squad Depth
ถ้าอยากจะขึ้นไปสู่การเป็นทีมระดับท็อปที่เปลี่ยนใครลงมาเล่นก็ได้แบบที่ทีมชั้นแนวหน้ามีขุมกำลังที่ทดแทนกันได้ทุกตำแหน่ง เราก็ต้องยกระดับคุณภาพนักเตะตัวเปลี่ยนในทีมให้มากขึ้นในอนาคต ตัวเล่นบางคนที่เริ่มขึ้นมาได้แล้วอย่างฮันนิบาล กับ ไมนู การที่นักเตะเหล่านี้ “เริ่มใช้งานได้จริง” มันเป็นประโยชน์กับทีมเรามากๆ แต่ยังคงต้องสร้างให้ทีมแน่นมากกว่านี้ขึ้นไปอีก
ถ้าเอริค เทน ฮาก ยังได้ทำทีมระยะยาวอยู่ยังไม่ไปไหน อีก 1-2 ฤดูกาลข้างหน้า บนม้านั่งสำรองของแมนยูจะแน่นเอี้ยดกว่านี้อีกเยอะ ตอนนี้ที่เห็นมีแต่เด็ก หากผ่านพ้นไปได้ ทีมจะเต็มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลานั้นแหละที่แฟนบอลจะเริ่มเห็นว่า ขุมกำลังเชิงลึกมันสำคัญยังไง และตอนนี้ที่มีอยู่มันยังโบ๋อยู่ขนาดไหน
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อนักเตะในทีมตอนนี้มีอยู่อย่างจำกัด การจัดไลน์อัพ 11 ตัวจริงของทีมในการเจอกับนิวคาสเซิล จะต้องเป็นชุดที่ดีที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดทั้งในด้านกายภาพและด้านจิตใจ ในการลงไปเจอกับตัวเก๋าๆแข็งๆของนิวคาสเซิล รวมถึงบรรยากาศอันกดดันที่เซนต์เจมส์ปาร์คด้วย
เหล่านักเตะ “จิตแข็ง” ทั้งหลาย จึงจำเป็นมากๆในเกมนัดนี้
จุดเดียวที่เป็นปัญหาในภาคของการจัดทีมนัดนี้ ส่วนตัวผู้เขียนมองเรื่องเดียวคือ ตำแหน่งของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ว่าทีมจะทำยังไงในการส่งเขาลงสนามอย่างเหมาะสม
แน่นอนว่า ปีกซ้ายตอนนี้ ฟอร์มของการ์นาโช่ดีกว่าแรชชี่เยอะถ้าพูดกันตรงๆ ถ้าจะกลับมาใช้แรชฟอร์ดเล่น LW ให้กับทีม แล้วดรอปการ์นาโช่ ถามว่าทำได้ไหม? มันก็ทำได้ แต่มันก็จะเป็นคำถามของแฟนๆอย่างเราว่า การ์นาโช่ช่วงนี้ฟอร์มดี ดรอปได้ยังไง
ถ้าการ์นาโช่ถูกใช้เป็นตัวจริงก่อน ตามฟอร์มการเล่น ทีนี้ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ถ้าตอนนี้จะโยกแรชชี่ไปขวา ก็เจอจะกับอันโทนี่ ที่กลับมาฟิตสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ซึ่งก็ต้องแย่งตำแหน่งกันเองอีก และถ้าให้พูดกันแบบตรงๆอีกครั้ง ให้แรชไปเล่นขวา กับ อันโทนี่เล่นขวา เราอยากจะขอเลือกนักเตะที่เล่นในตำแหน่งธรรมชาติของเขาลงสนามมากกว่า
ฟอร์มเจอกาลาตาซารายเข้าขั้นยอดเยี่ยมมากๆ เราก็อยากให้น้องได้รับโอกาสต่อเนื่องเหมือนกัน
ดังนั้น ปีกซ้ายขวาของทีมตอนนี้ ตัวหลักที่ควรได้ลงสนามก่อน ควรจะเป็น อันโทนี่ กับ การ์นาโช่ ก่อน ในด้านของความเหมาะสมตามตำแหน่ง มันไม่ใช่ว่าเราจะเฉดหัวแรชฟอร์ดไปขนาดนั้น แต่ต้องเรียนตามตรงว่า ฟอร์มแรชชี่ตอนนี้มีปัญหาจริงๆในด้านการทำเกมรุก ขณะที่การจบสกอร์ก็ยังยิงไม่ได้เช่นกัน ขณะที่การ์นาโช่ช่วงนี้เริ่มกดสูตรติดบ่อย ลูกยากลูกง่ายน้องมันเริ่มยิงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรชชี่จะเบียดน้องลงยังไงได้ สิ่งเดียวที่เหนือกว่ามีเพียงแค่ประสบการณ์เท่านั้นเอง
จะส่งลงหน้าเป้า ก็ไม่ใช่ตำแหน่งถนัดที่สุดอีก แถมมีตัวค้ำที่ดีกว่าอย่างฮอยลุนด์อยู่แล้ว เพราะงั้นตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ลงที่เหมาะสมให้แรชฟอร์ดเลย
สิ่งที่เกิดขึ้น หากว่าเอริค เทน ฮาก จะยืนยันให้โอกาสและเชื่อใจแรชฟอร์ดลงสนาม ก็คงจะต้องมีหนึ่งในสองคนนี้อย่างการ์นาโช่หรืออันโทนี่ ที่ต้องเสียสละคนใดคนหนึ่งให้แรชลงสนามแทนจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผู้จัดการทีมจะต้องคิดหนักในทุกๆสัปดาห์
แผงมิดฟิลด์ตรงกลาง สามคนตามโควตานั้น ยังไง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก็ต้องลงสนามอยู่แล้วในฐานะกัปตันทีม และนักเตะที่สำคัญกับทีมในทุกๆเกมที่สร้าง impact ให้ทีมได้ตลอดทุกนัดแบบขาดไม่ได้จริงๆ อีกสองคนที่เหลือจะต้องดูว่า เอริค คิดยังไงกับกรณีการเจอนิวคาสเซิลในนัดนี้
สิ่งที่ต้องสนใจคือ สามมิดฟิลด์หลักของนิวตอนนี้คือ Joelinton, Guimaraes รวมถึงดาวรุ่งแดนกลางวัย 17 ปีอย่าง Lewis Miley น่าจะลงสนามก่อนในฐานะตัวจริง สองรายแรกคือกลางตัวหลักของทีมสาลิกาดงที่เรารู้ฝีมือเป็นอย่างดี ด้วยความแข็งแกร่งในเชิงกายภาพ พร้อมด้วยความสามารถในการควบคุมการครองบอล
เป็นเรื่องที่เทน ฮาก ต้องตัดสินใจอย่างมากว่า แดนกลางจะทำยังไง ให้ผู้อ่านลองคิดง่ายๆว่า ถ้านิวคาสเซิลครองเกมได้ ยูไนเต็ดจะต้องเล่นเกมรับให้แข็งแกร่งมากๆในแดนกลาง ซึ่งตัวความหวังของทีมเราตอนนี้ก็กลับเป็นเด็กอายุ 18 อย่าง ค็อบบี้ ไมนู มิดฟิลด์อเนกประสงค์เชิงสูงที่สามารถคุมจังหวะเกมในแดนกลางได้
ถ้านิวคาสเซิลเล่นเกมหนัก ใช้ physical มาบวกกับนักเตะแมนยูไนเต็ดเลยตรงๆ เจ้าหนูค็อบบี้ก็อาจจะเหนื่อยเหมือนกัน จึงเป็นข้อที่ต้องตัดสินใจว่า ตรงกลางทีมจะเลือกนักเตะคนอื่นลงมาบดบี้ก่อนหรือไม่
คนแรกคือ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่มีoptionการเติมไปเล่นรุกซึ่งช่วงนี้ทำประตูได้บ่อยมากๆ ส่วนเกมรับ ถ้าเจอนิวคาสเซิลบุกก็ใช้ถอยต่ำลงมาแพ็คพื้นที่ด้านหน้าแผงหลังได้ เรื่องของสภาพร่างกาย น้องแม็คเป็นหนึ่งในสองคนที่อาจจะวัดกับมิดฟิลด์นิวคาสเซิลแบบตัวต่อตัวได้ดีเวลาที่ต้องเบียดปะทะ แย่งชิงจังหวะบอลรีคัฟเวอร์กันกลางสนาม แม็คโทมิเนย์ที่คุ้นเคยกับนิวคาสเซิลดีอยู่แล้วน่าจะไม่เสียเปรียบในเกมนี้ หากว่าเอริคมองประโยชน์เรื่องของสภาพร่างกายที่จะลงไปบวกกับพวกเขาโดยตรง
คนที่สอง ฮันนิบาล เมจบรี คนนี้คิดว่าประโยชน์การใช้งานจะคล้ายๆเมาท์ นั่นก็คือเรื่องของ work rate การเล่นในสนามที่ขยันมากๆ มีความดุดัน รวดเร็ว มี “ไดนามิค” การเล่นสูงมากคล้ายๆกับพวก เมสัน เมาท์ หรือ เฟร็ด ถ้าเอริค เทน ฮาก ต้องการเกมไดนามิคจ๋าๆ ฮันนิบาลอาจจะถูกใช้งานในจุดนี้ได้
แต่เอาจริงๆ กิมาไรส์ กับ โจเอลลินตอน ก็ไม่ได้ถึงกับเล่นเกมไดนามิคสูงขนาดนั้น เกมนี้อาจจะยังไม่ได้จำเป็นต้องใช้ฮันนิบาลลงสนามมาในฐานะตัวจริงเท่าไหร่
คนที่สาม โซฟียาน อัมราบัต ในสถานะของตัวโฮลดิ้งเชื่อมต่อเกมที่สามารถเล่นเกมรับได้ การมีอัมราบัตในสนามอาจจะช่วยเรื่องของการยืนตำแหน่งปักหลักคุมพื้นที่อยู่หน้าแผงหลังในฐานะกลางตัวต่ำของทีม การใช้อัมราบัตนั้นขึ้นอยู่กับ “เกมแพลน” ของทีมว่า มีเป้าหมายในการเล่นอย่างไรบ้าง
1. ถ้าจะเล่นเกม Control
ถ้าจะเน้นเรื่องการครองบอลสู้กับนิวคาสเซิล ช่วงนี้ก็อาจจะต้องคิดหนักแล้วว่า ค็อบบี้ ไมนู ดูดีกว่าบังบัติอยู่พอสมควร อายุไม่เกี่ยวถ้าคุณเก่งพอคุณก็แก่พอ ดังนั้นถ้าวัดจากฟอร์ม เราก็อยากจะใช้ค็อบบี้ลงก่อน ถ้าเอริคต้องการครองบอลให้เหนือกว่า คู่กลางของทีมจึงสามารถที่จะปรับเป็น Double Pivot ได้ด้วยการทดลองใช้ “ค็อบบี้ + อัมราบัต” ในการเซ็ตเกมร่วมกัน ให้ค็อบบี้เป็นตัวตั้งเกมแบบเต็มๆ แล้วใช้อัมราบัตยืน 6 ต่ำคุมพื้นที่ไว้ ค็อบบี้ก็จะมีอิสระในการเล่นเป็นตัวกึ่งๆเบอร์ 8 มากขึ้น แล้วตัวบนใช้บรูโน่ทำเกมรุกคนเดียว
(Amrabat + Mainoo) + Bruno F. แผนนี้น่าสนใจมาก แค่อยากจะเห็นว่า EtH จะเลือกใช้ combination นี้เมื่อไหร่
2. ถ้าจะเน้นเกมไดเร็คต์
ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแบบนี้สูง เพราะเจ้าบ้านนิวคาสเซิลยังไงก็มาบุกอยู่แล้ว ดังนั้นการจะใช้บอลไดเร็คต์เล่นโต้กลับเร็ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเน้นเกมรับให้แน่น แล้วใช้บอลไดเร็คต์จากตัวเปิดบอลอย่างบรูโน่ ขว้างยาวให้ตัวรุกแดนหน้าเลย หากเป็นเกมแพลนแบบนี้ นักเตะอย่าง แม็คโทมิเนย์ ก็จะต้องอยู่ในสมการนี้ด้วย ดังนั้นส่วนผสมจะต้องเป็นในลักษณะนี้ นั่นก็คือ
ตัวเปิดบอล + ตัวเติมเข้ากรอบ + ตัวต่ำ
เพราะงั้นเซ็ตกองกลางที่เป็นไปได้ ในกรณีที่เอริค เทน ฮาก จะยังยืนหยัดใช้บอลไดเร็คต์เล่นเป็นหลัก นักเตะตัวจริงในแผงมิดฟิลด์สัปดาห์นี้ก็น่าจะเป็น Bruno Fernandes + Scott McTominay + Sofyan Amrabat(Kobbie Mainoo)
แล้วตัวรุกด้านหน้าสามารถใช้แรชฟอร์ดเล่น RW หรือ RS ปีกขวาหรือหน้าขวาได้
ส่วนแผงหลัง สิ่งที่น่าสนใจมากๆในเกมนี้คือ ตัวรุกของนิวคาสเซิลส่วนใหญ่มีความเร็วความคล่องตัวสูงมากๆ ตั้งแต่ปีกอย่าง แอนโธนี่ กอร์ดอน, หน้าเป้าอเล็กซานเดอร์ อิซัค รวมถึง มิเกล อัลมิรอน เกมนัดนี้ค่อนข้าง “น่าคิด” ว่าเซ็นเตอร์แบ็คที่มีความคล่องตัวสูงอย่าง ราฟาเอล วาราน ถึงเวลาหรือยังที่เขาจะกลับมาลงสนามให้ทีมในเกมนี้ และจะหาทางลงได้ยังไงในเมื่อ แฮรี่ แมกไกวร์ โชว์ฟอร์มระดับมาสเตอร์คลาสในแทบจะทุกๆเกม ไม่สร้างความผิดพลาดและแพ็คเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นในทุกๆมิติ
เป็นเรื่องยากในการจัดทีมของผู้จัดการมาก เวลาที่เจอนักเตะฟอร์มดีแบบนี้ มันหาเหตุผลจะดรอปไม่ได้จริงๆ
ถ้าเอริคมองว่า ปีกของนิวคาสเซิลอย่างกอร์ดอน น่ากลัว ขวาก็อาจจะเป็น AWB ลงสนามต่อเนื่องคู่กับ ลุค ชอว์ ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว เนื่องจากว่าวานบิสซาก้าเอง นอกจากจะเหมาะในการเจอปีกขวาเร็วสูงแล้วนั้น เขายังถูกโฉลกในการเจอทีมสาลิกาดงด้วย ลงเล่นทีไรฟอร์มดีทุกที ดังนั้น วานบิสซาก้า เหมาะมากในการลงตัวจริงเกมนี้
ดังนั้น “แบ็คสายบุก” อย่างดิโอโก้ ดาโลต์ ที่ลงสนามต่อเนื่องมา ก็อาจจะลงไปเป็นสำรองวิงแบ็คให้กับทีมอีกหนึ่งนัด ส่วนเซ็นเตอร์ตัวกลางสองคนก็ลองดูว่าจะเป็นยังไง แต่แนวโน้มหลักก็ยังคงมีโอกาสสูงที่จะเป็น แมกไกวร์ + ลินเดอเลิฟ อีกหนึ่งเกม ในฐานะที่แมกไกวร์เป็นตัวยืนฝั่ง RCB ของทีม ซึ่งซ้ำกันกับวาราน ดังนั้นวัดกันด้วยฟอร์ม ในมุมมองพิจารณาตำแหน่งเดียวกันแบบนั้น วารานก็แย่งพื้นที่นี้ยากมากจริงๆ เพราะพี่แมกแกเองก็ไม่ค่อยบาดเจ็บซะด้วย
มาดูความพร้อมทางฝั่งนิวคาสเซิลกันบ้าง ทีมเจ้าถิ่นเองก็ประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเยอะมากเช่นกัน เกมล่าสุดที่เจอกับปารีส เอ็ดดี้ ฮาว แทบไม่มีตัวสำรองจะใช้ลงสนาม เขาแบกเอาผู้รักษาประตูสำรองไปสองคนในทีม ส่วนอีกสี่คนบนม้านั่งสำรองคือเด็กดาวรุ่งล้วนๆ
และเกมเจอ PSG เอ็ดดี้ ฮาว “ไม่ส่งสำรองลงสนามเลยแม้แต่คนเดียว” (เพราะไม่รู้จะเอาใครลงสนามได้จริงๆ) ส่วนปารีส เปลี่ยนไปสี่ตัววันนั้น คนที่ลงมาก็นักเตะระดับ มูอานี่, อูการ์เต้, ดานิโล่ และตามตีเสมอในช่วงทดเจ็บสำเร็จ
นักเตะที่บาดเจ็บอยู่ของนิวคาสเซิลประกอบไปด้วย Jacob Murphy (ไหล่), Joe Willock (เอ็นร้อยหวาย), Matt Targett (ต้นขา), Javier Manquillo (โคนขาหนีบ), Sven Botman (เข่า), Harvey Barnes (เท้า), Elliot Anderson (เจ็บหลัง), Callum Wilson (ต้นขา) และ Dan Burn (หลัง) สังเกตดีๆว่า 8-9 คนตรงนี้คือสมาชิกตัวหลักของนิวคาสเซิลล้วนๆ นักเตะพวกนี้ชื่อชั้นคุ้นเคยกันดี ตัวแกนกลางของทีมเจ็บกันไปหมดจนกระทั่งทีมหลักก็ร่อยหรอ และบางตำแหน่งโบ๋อยู่พอสมควรในการที่จะต้องเข็นเด็กหรือสำรองลงไปเล่นกันก่อนในช่วงนี้
สถานการณ์เรื่องตัวบาดเจ็บ แย่กว่าแมนยูซะอีก
เพราะฉะนั้น เอ็ดดี้ ฮาว น่าจะไม่มีทางเลือก คงต้องส่งชุด 11 ตัวจริงชุดเดิมในเกมเจอปารีส ลงสนามกับแมนยูไนเต็ดอีกครั้งในคืนวันเสาร์นี้ ถ้าจะมีเปลี่ยนตำแหน่งเดียว ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะได้ลุ้น Sean Longstaff ที่ต้องเช็คฟิตกันอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้
หกนัดหลังสุดของนิวคาสเซิล ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 ส่วนของแมนยูไนเต็ด หกนัด ชนะ 5 แพ้ 1 ผลงานแตกต่างกันพอสมควรในด้านของผลลัพธ์ของการแข่งขัน
คำถามคือ “ฟอร์มทีมในช่วงนี้ ใครดีกว่ากัน?” : แมนยู
และอีกคำถามว่า “ตัวเจ็บใครเยอะกว่ากัน?” : นิวคาสเซิล
เมื่อดูสองเหตุผลนี้ หลายๆอย่างมันโน้มเอียงไปในแง่ที่ว่า แมนยูไนเต็ดถ้ามาเล่นด้วยฟอร์มที่ดี ทำเกมรุกได้เฉียบขาดเหมือนสองนัดที่ผ่านมา และเกมในส่วนอื่นๆไม่หลุดจนเกินไปทั้งกลางและหลัง เราก็มีโอกาสที่จะบุกมาเก็บสามแต้มจากถิ่นเซนต์เจมส์ปาร์คได้เหมือนกัน
สามแต้มไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับแมนยูในนัดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฟอร์มต้องเนี้ยบจริงๆ ถ้ากองหน้ายิงได้ กองหลังก็ต้องห้ามพลาดแจกฟรีเหมือนซุปเปอร์ไซย่าลดราคาล้างสต็อคแบบที่ผ่านมาเด็ดขาด ต้องทำให้ได้เหมือนเกมเจอเอฟเวอร์ตัน คือถึงเวลายิงกันได้ แล้วเกมรับก็ช่วยกันเล่นเป็นทีมเวิร์คป้องกันให้ดีที่สุด
ดังนั้นศึกนี้ถือว่า โอกาสสูงมากที่จะมีการเอาแพ้เอาชนะกันเกิดขึ้น นิวคาสเซิลเองถ้ามีพลังฮึดจากการเป็นเจ้าบ้าน ก็อาจจะชนะแมนยูไนเต็ดได้ อันนี้ก็ไม่แปลกที่จะเกิดขึ้น แต่ในทางตรงข้าม เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว นักเตะนิวเจ็บกันไปเยอะมาก ยังไงทีมก็ยวบ ตัวเปลี่ยนไม่มี อาวุธในมือของเอ็ดดี้ ฮาว แทบไม่เหลือ
สิ่งที่น่ากลัวอย่างเดียวในเกมนี้ คือชุดแนวรุกของเจ้าบ้าน ที่อยู่กันครบ ทั้งกอร์ดอน อัลมิรอน อิซัค ถ้าสามารถหยุดสามคนนี้ได้ พลังทำลายจะลดลงไปมาก ดังนั้นเกมรับในแนว Defensive Line ของแมนยูจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่พวกตัวรับแน่นๆลงมาอย่างที่บอก เช่น AWB Shaw เป็นต้น
และถ้าจะเข่นนิวคาสเซิลล้างแค้นนัดที่แล้วให้ได้ เกมนี้คือ “โอกาสทอง” ที่ควรจะต้องทำให้ได้ เพื่อเก็บสามแต้มไปไล่ล่าพวกท็อปโฟร์ให้ใกล้ขึ้นอีกหนึ่งช่วงตัวสุดท้าย ขณะเดียวกันก็เพื่อตัดแต้มทีมที่แย่งอันดับกันเองอย่างนิวคาสเซิลด้วย
หากชนะนิวได้ ขวัญกำลังใจของทีมจะกลับมาอีกเยอะหลังจากผิดหวังเกมนัดเยือนกาลาตาซารายมาแล้ว เกมนิวคาสเซิลก็สำคัญไม่แพ้กัน และเป็นสามคะแนนไปกลับของทีมแย่งอันดับกันด้วย ขุมกำลังแมนยูก็เริ่มกลับมาทีละนิดๆแล้ว
“นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด” ที่จะบุกไปเข่นนิวคาสเซิลได้ ถ้าเกมนี้นักเตะเราใส่สุด สตาฟฟ์โค้ชเตรียม game plan กันมาเป็นอย่างดีและถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น เราเชื่อว่าศักยภาพของทีมในการเอาแพ้เอาชนะ ยังสามารถจะเล่นงานนิวคาสเซิลได้เหมือนกัน ในยามที่พวกเขาเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บมากมาย และทีมก็ฟอร์มดรอปๆลงมา
ถ้าไม่ใช่ทีมระดับท็อปสามทีมแรกในตาราง เรายังเชื่อว่ายูไนเต็ดดีพอจะเอาชนะอีก 16 ทีมที่เหลือในลีกได้อยู่ ด้วยความมุ่งมั่นจากการผิดหวังมาในเกมนัดล่าสุด กับคู่แข่งที่ก็มีปัญหาเหมือนกัน สิ่งที่จะวัดกันคือคุณภาพในสนามเท่านั้น ถ้าเราเล่นได้ด้วยมาตรฐานที่ควรจะเป็น ตามความสามารถของทีม เกมนี้โอกาสสามแต้มก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
ถ้าหากว่าเราบุกไปชนะได้จริงๆ โมเมนตัมของสามแต้มในนัดนี้อาจกลายเป็น “เกมพลิกกระดาน” ของฤดูกาล 2023/24 ได้เลย
[Now or Never] ถ้าไม่เอานัดนี้ จะเอานัดไหน
#BELIEVE
-ศาลาผี-
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com