ที่จริง จากการมองของหลายฝ่าย อาร์เซน่อล ดูเหนือกว่า ลิเวอร์พูล พอตัวทีเดียวในเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ จากการที่ฝ่ายหลังกำลังมีปัญหานักเตะเจ็บหลายราย แถมยังต้องเสีย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ วาตารุ เอ็นโด ไปจากการรับใช้ชาติ แต่กระนั้น ชัยชนะกลับเป็นของ ลิเวอร์พูล นิ่มๆ 2-0 (ยาคุบ กิวิออร์ OG, หลุยส์ ดิอาซ) ซึ่งทำให้ทีมหงส์แดงสามารถผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอ คัพ ได้ต่อไป ส่วน อาร์เซน่อล ตัดทิ้งไปได้อีกถ้วยสำหรับซีซั่นนี้…

อย่างที่เห็นกันในเกมกันอยู่แล้วว่าที่จริง อาร์เซน่อล สร้างจังหวะลุ้นประตูได้มากกว่า ลิเวอร์พูล ชัดเจน แต่ยิงไม่เข้าเป้าบ้าง ยิงเบาเกินไปบ้าง และทั้งหมดคือไม่มากพอจะเล่นงาน อลิสซอน เบ็คเกอร์ ได้เลย

สถิติเมื่อจบเกม บอกชัดว่า อาร์เซน่อล สร้างโอกาสจบสกอร์ได้มากถึง 18 ครั้ง…ที่ไม่อาจแลกมาด้วยประตูสักประตู

ในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสได้ 12 ครั้ง ตรงกรอบแค่ 3 แต่ว่าได้มาถึง 2 ประตู

ทั้งๆ ที่เกมนี้ ดาวยิงเบอร์ 1 ฝั่งหงส์อย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ได้มาด้วยแท้ๆ

ตามพงศาวดาร อาร์เซน่อล คือเจ้าแห่ง เอฟเอ คัพ ตัวจริงเสียงจริง ด้วยจำนวนแชมป์ 14 สมัย เหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ 2 ครั้ง และมากกว่า ลิเวอร์พูล-เชลซี-สเปอร์ส ถึง 6 หนด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจาก มิเกล อาร์เตต้า พาทีมผงาดแชมป์สมัยที่ 14 ในปีแรกที่เข้ามาสานงานต่อจาก อูไน เอเมรี่ แล้ว (ชนะ เชลซี 2-1) ถัดจากนั้นมาก็ต้องตีตรา "ล้มเหลว" อยู่ตลอด สำหรับเจ้าแห่ง เอฟเอ คัพ ทีมนี้

สี่ปีหลัง มีถึง 2 ครั้งด้วยกันที่ "เริ่มเตะแล้วตกเลย" ยุติเส้นทางในเพียงเกมแรกที่ลงสนาม รอบ 3 เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่านี่คือถ้วยที่ อาร์เตต้า ไม่เน้น หรือแพ้เพราะสภาพทีมไม่พร้อม อะไรก็ตามแต่

ทั้งนี้ 2 จาก 3 ปีหลังที่ อาร์เซน่อล ร่วงแค่รอบ 3 เอฟเอ คัพ ยังเกิดขึ้นด้วยการใส่ "ชุดขาวล้วน" เวอร์ชั่นพิเศษที่ทำมาเพื่อรณรงค์ต่อต้านอาชญากรรมจากของมีคมและการใช้ความรุนแรงของเยาวชน ทั้งเมื่อปี 2022 ที่แพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และเกมวานนี้ที่แพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้าน

ส่วนครั้งเดียวที่ใช้ชุดขาวแล้วชนะ คือซีซั่นก่อน ซึ่งผ่าน อ๊อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด 3-0 ก่อนกลับมาใช้ชุดเหย้าแดงขาวปกติในรอบ 4 — ซึ่งแพ้ แมนฯ ซิตี้ ตกรอบ

ที่อาจน่าเป็นห่วงมากกว่าการลื่นตกรอบ เอฟเอ คัพ อย่างรวดเร็ว ก็คือภาพรวมที่พบว่า อาร์เซน่อล แพ้มา 3 นัดติดต่อกันแล้ว

โดยที่ใน 3 เกมหลังสุดนี้ ยิงได้แค่ประตูเดียวเท่านั้นด้วย

ประตูเดียวที่ว่าคือการยิงขึ้นนำ ฟูแล่ม 1-0 ตอนต้นเกมของ บูกาโย่ ซาก้า ก่อนโดนทีเด็ดเจ้าสัวน้อย พลิกแพ้ 1-2 ในท้ายที่สุด

นอกนั้น ทั้งเกมที่แพ้ เวสต์แฮม และ ลิเวอร์พูล ต่างก็ได้แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา

แม้แต่ มิเกล อาร์เตต้า เองก็อาจตอบคำถามไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทีมที่เคยยิงสลุต เกมละ 2-3-4 ลูกเป็นปกติ ถึงได้เกิดอาการเครื่องสะดุดเพลาหักสลักหายฯ ลักษณะนี้

และนี่คือการแพ้ 3 นัดรวดเป็นครั้งแรกของ อาร์เซน่อล ในรอบเกือบๆ 2 ปี หรือตั้งแต่ เม.ย. 2022 ที่คราวนั้นแพ้เกม พรีเมียร์ลีก 3 นัดซ้อน 0-3 คริสตัล พาเลซ, 1-2 ไบรท์ตัน และ 0-1 เซาแธมป์ตัน

ออนท็อปไปจากการแพ้ 3 นัดซ้อน ยังอยู่ที่ฟอร์มระยะหลังซึ่งชัดเจนว่า อาร์เซน่อล แผ่วจริงอะไรจริง

นอกจากไม่มี "ของขวัญปีใหม่" สำหรับแฟนๆ แล้ว อาร์เซน่อล ยังทำตัวเป็นทีมที่ฟอร์มแย่ที่สุดทีมหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ด้วยซ้ำไป

น่าตกใจอย่างยิ่งว่านี่คือภาพที่แตกต่างอย่างน่าประหลาดจากช่วงเดือน พ.ย. ซึ่ง อาร์เซน่อล ติดเครื่องชนะ 6 เกมซ้อนในทุกรายการ

ปรากฏว่าหลังจากเบียด ลูตัน ทาวน์ 4-3 เมื่อ 5 ธ.ค. แล้ว ก็ออกลูกแผ่วจัดๆ อย่างที่เห็น

เช่นกัน ว่างานใน "รังเหย้า" เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เคยเป็นจุดเด่นของ อาร์เซน่อล มาก่อน ตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่นนี้มา จนถึงเร็วๆ นี้เลย

อาร์เซน่อล ลงเล่น 12 เกมเหย้าก่อนหน้านี้ (พรีเมียร์ลีก + ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) ได้ผลเลอเลิศระดับ "ไร้พ่าย" แบบชนะ 10 และเสมอแค่ 2 โดยที่ในระหว่างนั้น เป็นการชนะรวดถึง 7 เกมติดต่อกัน ยิงกระจาย 21 เสียไปแค่ 2 ประตู

แต่ปรากฏว่า 2 นัดหลัง แพ้แบบยิงไม่ได้ ทั้งกับ เวสต์แฮม และ ลิเวอร์พูล (ในโอกาสจบรวม 48 ครั้งของ 2 นัด)

นี่คือครั้งแรกถัดจาก ม.ค. 2022 ที่พวกเขาทำประตูไม่ได้ในบ้านตัวเอง 2 นัดติดต่อกัน

น่าสนใจดีว่า รออีกแป๊บ เดี๋ยวต้นเดือนหน้า อาทิตย์ 4 ก.พ. เกมแก้มือกับ ลิเวอร์พูล จะโคจรกลับมาใหม่ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นี่เอง

ในขั้วตรงข้ามของผู้แพ้ ก็คือความน่าปลาบปลื้มนานับประการของผู้ชนะอย่าง ลิเวอร์พูล โดยพบว่า พวกเขาผ่าน เอฟเอ คัพ รอบ 3 ได้เป็นอย่างน้อยถึง 12 จาก 13 ซีซั่นหลังสุด

อย่างไรก็ตาม ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ (ปลายปี 2015 เป็นต้นมา) มีถึง 5 ครั้งทีเดียวที่ ลิเวอร์พูล ยุติเส้นทาง เอฟเอ คัพ แค่รอบ 4 ซึ่งหมายความว่า นี่ไม่ใช่ถ้วยที่ คล็อปป์ มุ่งเน้นอยากได้อะไรนัก

เช่นเดียวกันกับปีนี้ ว่าผ่านเข้าสู่รอบ 4 ได้แล้วก็จริง

ก็ยังเป็นคำถามว่า จะได้ใครเป็นคู่แข่ง และจะผ่านไปได้ต่อหรือไม่

อย่างที่ว่า ดาวยิงเจ้าของ 18 ประตูซีซั่นนี้ และ 204 ประตูในระยะ 6 ปีครึ่งอย่าง โม ซาลาห์ ไม่อยู่ และจะไม่อยู่ไปอีกพักจนกว่าที่ อียิปต์ จะหลุดออกจาก แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ 2023

ดังนั้น ตัวรุกรายอื่นของ ลิเวอร์พูล ก็ต้องก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทน ทำหน้าที่ปิดสกอร์แทน ซาลาห์ ให้ได้

สำหรับเกมล่าสุดนี้ ก็คือ หลุยส์ ดิอาซ ที่ทำได้ 1 ตุง

นี่คือประตูที่ 6 ในซีซั่นนี้ของปีกโคลอมเบีย วัย 26 ซึ่งมากที่สุดเทียบเท่าซีซั่น 2021/22 ปีแรกที่ย้ายจาก ปอร์โต้ มายังแอนฟิลด์

จึงน่าจับตามองกันต่อว่า หลุยส์ ดิอาซ จะจัดให้ ลิเวอร์พูล เพิ่มได้อีกสักกี่มากน้อย ในตลอดครึ่งปีที่ยังเหลือของซีซั่นนี้

อ่อ สถิติดีสุดในการยิงประตูของ ดิอาซ คือการยิงรัวๆ 16 ลูกให้กับ ปอร์โต้ ในแค่ครึ่งซีซั่นแรกครึ่งเดียวของ 2021/22 ก่อนถูก ลิเวอร์พูล คว้ามาด้วยค่าเสียหาย 37.5+12.5 ล้านปอนด์นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ใน "ประกายแสงแห่งความหวัง" ที่ลุกโชนมาจาก หลุยส์ ดิอาซ

ที่ยัง "แอบน่าเป็นห่วง" อยู่เล็กๆ ก็เจ้าเก่าอย่าง ดาร์วิน นูนเยซ นั่นเอง

หอกอุรุกวัยเจ้าของเบอร์ 9 ลิเวอร์พูล มีผลงานยิงแล้ว 8 ประตูจาก 29 นัดของซีซั่นนี้ ซึ่งด้วยตัวเลขแล้วก็อาจไม่ขี้เหร่ แต่ก็ยังไม่น่าประทับใจ

และโฟกัสภาพแคบลงไปอีกนิดจะพบว่า…

15 นัดหลัง นูนเยซ ยิงได้ประตูเดียวถ้วน!

ลูกเดียวนั่นเกิดขึ้นในเกมชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0 วันบ๊อกซิ่งเดย์ จากนั้นอีก 14 เกม ล้วนแต่จบลงอย่าง "เป้าสะอาด"

อีกหนึ่งคนที่หายหน้าไปจากเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งมีอาการป่วย ไม่พร้อมลงสนาม

หลังบ้าน ลิเวอร์พูล จึงเกิดเป็นภาพไม่ค่อยคุ้นตานักอย่างคู่เซนเตอร์แบ็ก จาร์เรลล์ ควอนซาห์ – อิบราฮิมา โกนาเต้

อย่างไรก็ตาม ควรถือว่าทั้ง 2 ต่างทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม จนคว้าชัยกลับออกมาแบบไม่เสียประตู

สถิติของดาวรุ่งวัย 20 อย่าง ควอนซาห์ กับปีประเดิมชุดใหญ่หงส์ ยังถือว่าน่าประทับใจเลยทีเดียว

จนถึงตอนนี้ ควอนซาห์ ลงสนามไปแล้ว 15 นัด

15 นัด… ชนะ 13 แพ้ 2 เสียไป 12 ประตู

และทำคลีนชีตได้ถึง 6 ครั้ง

อย่าแปลกใจหากว่าตลาดหนาวนี้ จะเป็นอีกครั้งที่ผ่านไปโดยที่ คล็อปป์ ไม่คว้าใครมาเพิ่มตัวเลือกเซนเตอร์แบ็ก

แง่ดีอีกอย่างของบิ๊กแมตช์เมื่อวันอาทิตย์ คือการที่มีผลแพ้ชนะ ไม่ออกเสมอที่จะทำให้มี "เกมงอก" นัดรีเพลย์เพิ่มขึ้นมาผลาญพลังงาน และรบกวนโปรแกรมของทั้งสองฝั่งโดยตรง

ถัดจากนี้ของ อาร์เซน่อล คาดกันว่าพวกเขาจะใช้เวลาของการ "เบรคหนีหนาว" เดินทางไปเข้าค่ายเก็บตัวกันที่ ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สักระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเตรียมพร้อมที่สนามซ้อมเดิม เพื่อเล่นเกม พรีเมียร์ลีก นัดถัดไปกับ คริสตัล พาเลซ 20 ม.ค. หรืออีก 2 สัปดาห์ถัดจากนี้

สิ่งสำคัญแน่นอนว่า อาร์เซน่อล จะฟื้นคืนความสดชื่น เรียกความมั่นใจในการเล่นกลับมาได้มากแค่ไหน ให้หลังจากการแพ้ 3 เกมซ้อน และชนะ 1 จาก 7 นัดหลัง ดังที่ว่าไปข้างต้น

ส่วนถัดจากนี้ของ ลิเวอร์พูล พวกเขายังต้องลงเตะรอบตัดเชือก คาราบาว คัพ ต่อเนื่องวันพุธนี้ แต่ยังดีหน่อยที่เมื่อพ้นเกมกับ ฟูแล่ม แล้ว ก็จะเข้าช่วงเบรคหนีหนาวประมาณ 1 สัปดาห์เต็ม ก่อนกลับมาเตะกับ บอร์นมัธ วันอาทิตย์ที่ 21 ม.ค. ต่อไป

ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/feature-stats-from-fa-cup-liverpool-beat-arsenal-0-2