รายการ: ฟุตบอล ยูโร 2024 รอบคัดเลือกวันแข่งขัน: วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566สนาม: เวมบลีย์ สเตเดี้ยมผลการแข่งขัน: อังกฤษ 2-0 มอลต้า
เป็นสิทธิ์ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต อยู่แล้วที่จะจัดทัพอย่างไรก็ได้ เมื่อ อังกฤษ ตีตั๋วเข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2024 ไปเรียบร้อย
แต่กับการเจอหมูอย่าง มอลต้า ในเวมบลีย์ เซาธ์เกต ก็ยังแสดงออกชัดว่าไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นทั้งสิ้น จึงจัด "ตัวหลัก" ลงชน ไม่น้อยทีเดียว
ทั้ง จอร์แดน พิคฟอร์ด, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, คีแรน ทริปเปียร์, มาร์คัส แรชฟอร์ด, ฟิล โฟเด้น และกัปตันทีม แฮร์รี่ เคน พวกนี้ เป็นตัวจริงสำหรับเกมใหญ่ได้ทั้งหมด หรือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสำรองเสียทีเดียว
ในบางคอมเมนต์ชาวเน็ตหลังประกาศไลน์อัพ บอก ที่จริงปล่อยสำรองและดาวรุ่งลงสนามมากกว่านี้ก็ไหว
แต่ก็อีกนั่นแหละ เซาธ์เกต คงทำถูกแล้วที่เลือกเน้นเอาชนะไว้ก่อนเพื่อการันตีแชมป์กลุ่ม แล้วค่อยไปเปลี่ยนยกเซ็ตอีกทีในเกมวันจันทร์ นัดปิดกลุ่มกับ มาซิโดเนียเหนือ
ท่ามกลางปัญหาตัวเจ็บเยอะในทีมชุดนี้ ที่ถอนตัวออกไปมีทั้ง เจมส์ แมดดิสัน, คัลลั่ม วิลสัน, ลูอิส ดังค์, จู๊ด เบลลิงแฮม และ ลีวาย โคลวิลล์ ก็ชัดเจนว่า "แบ็กซ้าย" คือตำแหน่งที่มีปัญหาของ อังกฤษ มาตลอดช่วง 2-3 เดือนหลังแล้ว
เมื่อทั้ง เบน ชิลเวลล์ และ ลุค ชอว์ ต่างก็เจอปัญหาบาดเจ็บเล่นงานอยู่ตลอด แถมคนที่พอเล่นได้อย่าง ลีวาย โคลวิลล์ ก็เจ็บจนต้องถอนตัวไป
นี่เองเป็นจุดที่ทำให้ เซาธ์เกต ต้องลองเรียกตัว ริโก้ ลูอิส เด็กสารพัดประโยชน์วัย 18 จาก แมนฯ ซิตี้ เข้ามาประเดิมติดธง
แต่ครั้นจะให้ประเดิมเลยก็ยังไงๆ อยู่ เกมนี้ เซาธ์เกต จึงเลือก ฟิคาโย่ โทโมรี่ เซนเตอร์จาก เอซี มิลาน ลงเป็นแบ็กซ้ายจำเป็น…และเล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (ซึ่งเข้าใจได้อยู่แล้ว)
อย่างไรก็ตาม ในบางมุมก็อาจถือว่า เซาธ์เกต "คิดมาก" เกินไปหน่อย เมื่อที่จริง คีแรน ทริปเปียร์ มีคุณภาพมากพอจะยืนแบ็กซ้ายได้อย่างไม่เคอะเขิน ส่วนทางขวา ก็มีทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้เลือก
ก่อนจะเริ่มเกม ไฟสนามของ เวมบลีย์ ได้ดับสนิทลงชั่วครู่ ด้วยพิธีการไว้อาลัยบุคคลในตำนานอย่าง เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ผู้ซึ่งมีความสำคัญทั้งกับทีมชาติอังกฤษ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ก่อนจะจากโลกไปในวัย 86 ปีเมื่อ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา ตำนานดาวเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุค 60 ผู้นี้ คือหนึ่งในขุนพลสิงโตคำรามชุดประวัติศาสตร์ ครองแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวจนวันนี้ โดยลงตัวจริงด้วยในเกมชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1966 ที่ อังกฤษ ต่อเวลาชนะ เยอรมนีตะวันตก 4-2 (เจฟฟ์ เฮิร์สท์ แฮตทริก)
อีกทั้งในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งยาวนานหลายสิบปี ก็เป็น เซอร์ ชาร์ลตัน นี่เองที่ยืนแท่นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอังกฤษ ด้วยสถิติ 49 ประตูจาก 106 นัด ก่อนจะถูก เวย์น รูนี่ย์ (53) และ แฮร์รี่ เคน (62) แซงหน้าขึ้นไปในช่วงทศวรรษหลัง
แม้ มอลต้า จะออกสตาร์ทเกมอย่างคึกคัก สร้างโอกาสจบได้แต่เนิ่นๆ แต่แฟนบอลสิงโตคำรามใน เวมบลีย์ ก็ต้องรอกันแค่ 8 นาทีเท่านั้น ถึงได้เฮสนั่นเป็นครั้งแรก จากโอกาสบุกหนแรกสุดเลย
นาทีที่ 8 ฟิล โฟเด้น ใส่สปีดสุดแรงครั้งเดียว พรวดขึ้นทางขวาแล้วพยายามตบเข้าในให้ แฮร์รี่ เคน เข้าชาร์จ แต่แม้บอลเจ้ากรรมจะมาไม่ถึง ก็กระทบขา เอ็นริโก้ เปเป้ กองหลังมอลต้า เข้าประตูตัวเองไปอย่างโชคร้าย
อังกฤษ นำเร็วมาก…ยิ่งไม่มีทางเลยที่เกมนี้จะเกิดความพลิกล็อก
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมควรถือว่า มอลต้า ที่แพ้มา 7 นัดรวดในคิวคัดยูโรก่อนหน้านี้ มาดีเกินคาด ทำเกมกดดันหลังบ้าน อังกฤษ ได้ดีกว่าที่คิด
ครึ่งแรก แม้ อังกฤษ จะครองบอลเหนือกว่าระดับ 70:30 แต่กลายเป็นว่าโอกาสจบของ มอลต้า มีเหนือกว่าที่ 3:1 แม้จะไม่ตรงกรอบเลยก็ตาม
ยิ่งเมื่อบวกกับการตัดสินแปลกๆ ของผู้ตัดสิน หลุยส์ โกดินโญ่ จากโปรตุเกส ที่แจกเหลือง แฮร์รี่ เคน ด้วยความมั่นใจ (ไม่รอดู VAR อะไรทั้งสิ้น) ข้อหาพุ่งล้ม อังกฤษ ก็เลยนำแค่ลูกเดียวเท่านั้นในครึ่งแรก
อย่างที่ว่าไปในครั้งก่อน (3-1 อิตาลี) ว่าจุดเด่นของ อังกฤษ ชุดนี้ คือเกมรุกที่ร้อนแรงด้วยนักเตะคุณภาพสูง และจะน่ากลัวยิ่งๆ ขึ้นไปเมื่อทั้ง แฮร์รี่ เคน กับ จู๊ด เบลลิงแฮม และบรรดาแข้งจาก แมนฯ ซิตี้ หรือ อาร์เซน่อล ไปโลดกับต้นสังกัดของตัวเอง
เกมนี้ แม้ เบลลิงแฮม ไม่อยู่ และ อังกฤษ มีครึ่งแรกที่น่าหงุดหงิดพอตัว แต่ครึ่งหลัง พวกเขาก็คายพิษสงออกมาให้เห็น
ประตู 2-0 ในนาที 75 เป็นการลำเลียงบอลที่ยอดเยี่ยมเลย กับการค่อยๆ ต่อบอลขึ้นมาจากหลังบ้าน แล้วจบที่การเคาะเร็วไปมาอย่างลงล็อกระหว่าง ไคล์ วอล์คเกอร์, ฟิล โฟเด้น, บูกาโย่ ซาก้า ก่อนจบที่ แฮร์รี่ เคน ปิดบัญชีไม่พลาด
ยังเกือบเป็น 3-0 ด้วยเมื่อ ดีแคลน ไรซ์ สร้างจังหวะชงเองกินเอง ลากขึ้นหน้าไปกระทุ้งหน้าเขตโทษเสียบเสา แต่ถูกขวางไว้ด้วย VAR ที่จับล้ำหน้า แฮร์รี่ เคน เสียก่อน
ยังชัดเจนว่า นี่คือช่วงเวลาที่ดีของ แฮร์รี่ เคน ซึ่งกำลังแล่นฉิวปลิวลมทั้งกับต้นสังกัดและทีมชาติ
ที่ บาเยิร์น มิวนิค ดาวยิงเจ้าของค่าตัว 100+10 ล้านยูโร กดแล้วถึง 21 ประตูจากการลงสนาม 16 นัดของซีซั่นนี้
ส่วนอีกหนึ่งเม็ดที่ยิงใส่ มอลต้า วันนี้ ก็นับเป็นประตูที่ 62 ของการรับใช้ชาติ 88 เกม โดยถ้านับเฉพาะรอบปี 2023 นี้ เคน ยิงให้ อังกฤษ ไปถึง 9 ลูกจาก 8 นัด
สำคัญสุดคือ 3 แต้มจากชัยชนะนัดนี้ การันตี "แชมป์กลุ่ม" ให้กับ อังกฤษ เรียบร้อยแล้ว ด้วยการมี 19 แต้มในมือ นัดสุดท้าย ไม่ว่าระหว่าง ยูเครน – อิตาลี (13 แต้มเท่ากัน) จะออกหน้าไหน หรือ อังกฤษ จะแพ้ มาซิโดเนียเหนือ สัก 10-0 หรือ 20-0 ก็ไม่ส่งผลกระทบกับตำแหน่งที่ยืนอยู่ดี
อังกฤษ เป็นแชมป์กลุ่ม ที่จะทำให้ได้เป็นหนึ่งใน "ทีมวาง" ของการจับสลากแบ่งสาย ยูโร 2024 ต่อไป
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/post-match-analysis-england-2-0-malta-euro-2024-qualification