ไม่ได้เหนือกว่าที่คาดเดาเท่าไหร่ สำหรับผลการแข่งขันแมตช์อุ่นเครื่องระหว่าง ญี่ปุ่น กับ ไทย

สกอร์ 0-5 แฟนบอลบางกลุ่มอาจร้องกรี๊ดจนคีย์บอร์ดในมือสั่น แต่หากมองอีกมุมนี่คือเกมแรกของ มาซาทาดะ อิชิอิ ในนามกุนซือทีมชาติไทย

มาซะ มีเวลาเตรียมตัวไม่กี่วันก่อนเกมนี้ ไม่ได้รู้จักมักจี่นักเตะลึกทุกคน ว่าคนไหนเหมาะสำหรับรูปแบบของเขา

หนทางที่ดีสุดคือ “การทดลอง”

เพียงแต่คู่ต่อสู้ที่มาทดลองนั้นคือทีมอันดับ 17 ของโลก ทีมที่ไล่ตบ เยอรมัน ตุรเคีย ตูนิเซีย แคนาดา และอยู่ในช่วงพัฒนาอย่างขีดสุด

ก้าวเดินลูกหนัง ญี่ปุ่น กับ ไทย หลายปีที่ผ่านมาว่าห่างกันแล้ว ปัจจุบันขณะยิ่งฉีกออกไปอีก ในขณะที่ ไทย กำลังอยู่ในช่วงรีสตาร์ทใหม่ ภายใต้กุนซืออย่าง มาซะ

หากจะเอาผลการแข่งขันยุคโค้ชคนก่อน ๆ ที่เคยคุมทีมแล้วแพ้ ญี่ปุ่น ไม่ถึง 5 ประตู หรือหยิบยกไปเปรียบเทียบกับชาติในอาเซียนกับ เวียดนาม ที่แพ้แค่ 0-1 ยิ่งไม่แฟลร์ไปกันใหญ่


เพราะแพ้แบบ “โงหัวไม่ขึ้น” กับแพ้แบบ “มีรูปแบบการเล่น” ในมุมผู้เขียนถือว่าต่างกัน

และทีมชาติไทยในนัดล่าสุดคือ “แบบหลัง”

ถามว่าเราเห็นและได้อะไรจากการแพ้ 0-5 ในเกมนี้ ?

อย่างแรกคือการ “กล้าเล่น” กล้าครองบอล เซ็ตเกมตั้งแต่หน้ากรอบเขตโทษ แม้จะเจอกับชาติที่ขึ้นชื่อบ้าคลั่งเพรสซิงเป็นอันดับต้น ๆ

แม้จะเป็นญี่ปุ่น “ชุดบี” แต่รูปแบบการเล่นภายใต้การคุมทีมของ
ฮาจิเมะ โมริยาสึ แทบไม่ต่างจากชุดที่ดีสุด ผู้เล่นรู้หน้าที่ต้องทำอะไร เข้าใจเกม เล่นร่วมกันได้อย่างเนียนตา

แต่เกมรับของไทยในวันนั้นก็ทำให้เราเห็น “รูปแบบ” การรับมือ การบี้แบบกัดไม่ปล่อย สู้ยิบตาสุดเท่าที่เราจะทำได้ จนสามารถต้านทาน ญี่ปุ่น ได้ครบ 45 นาทีแรก และมีโอกาสโต้กลับสวย ๆ หลายครั้ง ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาสาดบอลสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนเตะอัดแพง

ทีมชุดครึ่งแรกที่หลายคนไม่คาดคิดว่า มาซะ จะจัดลง ถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่งโดยเฉพาะคู่มิดฟิลด์ดูโอ้ เมืองทองฯ อย่าง พิชา อุทรา กับ วีระเทพ ป้อมพันธ์

ความเร็ว-ขยัน ทั้งคู่สามารถดีเลย์เกม และทำให้ ญี่ปุ่น เล่นตามรูปแบบตัวเองได้ไม่ถนัดนัก แม้บางครั้งจะยังไม่เร็วพอสู้กับเกมเพรสญี่ปุ่นก็ตาม


ครึ่งหลังการเปลี่ยน พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล กับ สารัช อยู่เย็น ลงมา ไม่ใช่ว่าทั้งสองไม่ดี แต่ด้วยขวบวัยอายุอานาม ความคล่องตัว-ความไว ในการรับมือกับเกมตรงกลาง ญี่ปุ่น กลายเป็นอุปสรรคทันที

ยิ่งครึ่งหลัง ญี่ปุ่น ส่ง ริตสึ โดอัน (ไฟร์บวร์ก) กับ เคย์เตะ นากามูระ (แร็งส์) 2 แนวรุกที่เล่นในยุโรปลงมา ทำให้เกมตรงกลางไทยขาดเป็นวิ่น ๆ ญี่ปุ่นทะลวงแดนกลางเราได้สบาย ๆ

ขณะที่กองหน้าไทยอย่าง ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ก็ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และแทบไม่สามารถเก็บบอลได้เลย

ยังไม่นับรวม “ความผิดพลาด” เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ส่งผลต่อการเสียประตู

สกอร์ 0-5 จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด และไม่ใช่เรื่องที่
“ควรอาย”

แต่อย่างที่บอกไป เกมนี้ทีมชาติไทยได้ “บททดสอบ” ของจริงในโลกฟุตบอล

ส่วน มาซะ เองก็ได้รู้ว่าแมตช์อุ่นเครื่องนี้จะสามารถใช้งานใครในรูปแบบไหนได้บ้าง หรือคนไหนไม่ไหวในแบบแผนของเขา มีอะไรต้องแก้ไข เพื่อเตรียมตัวสำหรับ เอเชียนคัพ ที่กำลังจะมาถึงในอีก 10 กว่าวันข้างหน้า

จริงอยู่ การเริ่มต้นของ มาซะ อาจไม่สวยงามนัก แต่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการ
“ผ่าตัด” ช้างศึกเชือกนี้กลาย ๆ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยใหม่

นักเตะที่เคยรับใช้ทีมชาติ เป็น “เดอะแบก”
มานานร่วมสิบปี อาจไม่ใช่กำลังหลักอีกต่อไป

 


ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com