จนถึงตอนนี้ที่ พรีเมียร์ลีก เดินทางผ่าน 16 นัด หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญย่อมอยู่ที่ก้าวเดินของ แอสตัน วิลล่า ที่ภายใต้การทำทีมปีที่ 2 ของ อูไน เอเมรี่ สิงห์ผงาดตัวนี้ห้าวเหลือหลาย ชนะรวด 100% ในบ้าน นั่นจึงนำมาซึ่งคำถามว่า หรือ แอสตัน วิลล่า จะถึงกับ "ลุ้นแชมป์" กันเลยทีเดียวเชียว…
โหดแท้แม่ให้มา… แอสตัน วิลล่า ชนะในบ้าน สำหรับเกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันถึง 15 นัดแล้ว
ลำพังซีซั่นก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่ถูกจับตาหรือเอ่ยถึงมากมายนัก เมื่อหลังจากแพ้ อาร์เซน่อล คาบ้าน 2-4 (ลูกสาม 90+3 ลูกสี่ 90+8) กลางเดือน ก.พ. แล้ว แอสตัน วิลล่า แค่เดินหน้าเข้าวินใน วิลล่า พาร์ค เบาะๆ 7 เกมซ้อนเท่านั้น และอันดับของพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าพุ่งขึ้นจนน่าตกใจ เข้าเส้นชัยที่การเป็นเบอร์ 7
แต่เมื่อรวมซีซั่นก่อนกับซีซั่นนี้เข้าด้วยกันแล้ว… ชัดเจน นี่คือปรากฏการณ์
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แอสตัน วิลล่า คือทีมเดียวเท่านั้นใน พรีเมียร์ลีก 2023/24 ที่ชนะรวดในบ้าน 8 นัด
ลิเวอร์พูล อาจมีสถิติ 100% ในแอนฟิลด์ เช่นกัน แต่ทีมหงส์แดงเพิ่งเล่นเกมเหย้าไป 7 นัด ส่วนถัดจากนั้นไม่ว่าจะ นิวคาสเซิ่ล, อาร์เซน่อล หรือผู้ยิ่งใหญ่จากปีเก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ล้วนแต่เสียแต้มในบ้านไปแล้วทั้งสิ้น โดยแม้ปืนกับเรือจะยังไม่แพ้คารัง แต่ก็หลุดเสมอไปทีมละ 2 นัดด้วยกัน
สำหรับ วิลล่า 8 เกมเหย้าของพวกเขาเริ่มต้นที่เกมชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 จนมาถึงวันนี้ ที่ยิงรวม 25 ประตู และเสียไปแค่ 5 ลูกเท่านั้น
ที่เป็นประเด็นและได้รับเสียงปรบมือท่วมท้น ก็คือ 2 เกมหลังสุด
แอสตัน วิลล่า กล้าๆ ปราบ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลงได้แบบ "เกือบจะเอาท์คลาส" (1-0 ลีออน ไบลี่ย์ น.74) ด้วยการสร้างโอกาสจบรวม 22 หน ตรงกรอบ 7 พร้อมบีบให้ทัพเรือมีจังหวะยิงตรงกรอบแค่ 2 ครั้งถ้วน
สามวันให้หลัง แอสตัน วิลล่า ก็สยบ อาร์เซน่อล ลงอีก โดยแม้จะครองบอลน้อยกว่าหรือโอกาสจบน้อยกว่า แต่ประเด็นสำคัญคือเมื่อ วิลล่า ได้เฮตั้งแต่เนิ่นๆ (จอห์น แม็คกินน์ น.7) แล้ว ก็ไม่พลาดท่าเสียทีให้ผู้มาเยือนอีกเลยจนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
นอกจากการทำสถิติสวยหรูอย่างชนะรวด 15 เกมเหย้าแล้ว การกำราบทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ลงได้ติดๆ กัน ยังทำให้สปอตไลท์พุ่งตรงไปยัง แอสตัน วิลล่า มากเป็นพิเศษ
เมื่อพวกเขากล้าๆ ยืนสูงถึงอันดับ 3 ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 2 แต้มเท่านั้น
แน่นอน แรกสุดคือต้องชี้เป้าไปที่ อูไน เอเมรี่
เพราะชัดเจนอยู่แต่แรกแล้วว่า เอเมรี่ คือ "กุนซือมือดี" ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางได้งานกับทีมระดับ อาร์เซน่อล ตั้งแต่แรก
โค้ชสแปนิชที่เริ่มแรกสร้างชื่อกับ บาเลนเซีย (2008-2012) นั้น เปรี้ยงปร้างอย่างหนักกับ เซบีย่า (2013-2016) แบบที่พาทีมผงาดครองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ถึง 3 ปีซ้อน นั่นทำให้ทีมระดับท็อปอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อัญเชิญตัวไปกุมบังเหียน (2016–2018) ซึ่งก็ไม่มีคำว่าผิดหวัง เอเมรี่ นำแชมป์มาให้ เปแอสเช ถึง 7 โทรฟี่ พร้อมสถิติแพ้แค่ 12 นัดเท่านั้นจากการทำทีม 114 เกม
ประจวบเหมาะพอดีกับการถึงเวลาปิดตำนาน 22 ปีของ อาร์แซน เวนเกอร์ คนที่ อาร์เซน่อล เลือกให้มาจับงานยากๆ แห่ง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ชิ้นนี้ ก็คือ เอเมรี่
ยากขนาดไหนคือ 1. ต้องสานต่องานจากคนในตำนานอย่าง เวนเกอร์ กับ 2. อาร์เซน่อล เริ่มหลุดออกจากท็อปโฟร์แล้ว ต้องพยายามหาทางกลับสู่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ และ 3. ทุนรอนสนับสนุนก็ไม่ได้มีมากมายอย่างใครเขา (ซัมเมอร์แรกของ เอเมรี่ ใช้ไปแค่ราวๆ 70 ล้านปอนด์)
ไหนเลยว่าจะมี 4. คือเป็นปีแรกในอังกฤษ ต้องพยายามปรับตัวเข้ากับทั้งฟุตบอลและวิถีชีวิตลอนดอนเนอร์ให้ได้
ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่ เอเมรี่ ล้มเหลวกับ อาร์เซน่อล โดยที่การเข้าชิง ยูโรป้า ลีก 2019 (แพ้ เชลซี 1-4) ไม่ถูกจัดเป็นความสำเร็จ จนถูกเด้งออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็วในเพียงสิ้นเดือน พ.ย. 2019 หรือหลังจากนั่งเก้าอี้มาแค่ปีครึ่ง
ฉะนั้น กลับมาคราวนี้ ก็เพื่อมาทวงความฝันคืน…
ต.ค. 2022 แอสตัน วิลล่า ยอมทุ่มเงินไม่ใช่น้อยถึง 6 ล้านยูโร เพื่อดึง เอเมรี่ มาจากสัญญาการทำทีมที่ บียาร์เรอัล (แชมป์ยูโรป้า 2021) หลังจากการทดลองเปิดพื้นที่ให้มือใหม่อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ออกทรงติดลบค่อนข้างชัดในตอนต้นซีซั่น 2022/23 ที่ความพ่ายแพ้ 4 จาก 5 เกมแรก ฉุดสิงห์ผงาดลงไปถึงตำแหน่ง "รองบ๊วย" รวมถึงที่ชนะแค่ 2 จาก 11 เกมแรกก็ทำให้ยืนอันดับ 16 เหนือโซนแดง 1 แต้มถ้วนๆ เมื่อแรกเข้าของ เอเมรี่
ข้อแตกต่างของการกลับมาสู่ พรีเมียร์ลีก อีกครั้งของโค้ชหนุ่มใหญ่วัย 52 ก็คือ 1. เขาไม่ต้องกดดันกับความพยายามทำให้ วิลล่า ต้องจบท็อปโฟร์, 2. ท็อป 6-8 ถือว่าโอเค สูงกว่านั้นจัดเป็นโบนัส 3. โทรฟี่จากบอลถ้วย มีก็ดี ไม่มีก็ได้, 4. เงินทุนสนับสนุนจากเจ้าของทีม ถือว่าไม่ขี้เหร่ และ "ได้ตามสั่ง" ในหลายดีล จนถึง 5. ไม่ใช่หน้าใหม่เด๋อๆ ด๋าๆ ในฟุตบอลอังกฤษอีกแล้ว
ก็เป็นดั่งเทพนิยายที่บรรดาแฟนบอล วิลล่า เองคงไม่กล้าคิดไว้ ว่าเมื่อ เอเมรี่ เข้ามาแล้ว มันจะเป็นเหมือนการ "พลิกฝ่ามือ" เปลี่ยนชะตาจากทีมหนีตาย ให้ขึ้นมาสูดอากาศด้านบนได้อย่างปาฏิหาริย์
จากทีมอันดับ 16 ในวันแรกของ เอเมรี่ สู่การเข้าป้ายอันดับ 7 สูงที่สุดของสโมสรในรอบ 13 ปี
และเมื่อเริ่มต้นปีแรกได้ไหลลื่นแบบนั้นแล้ว ปีที่ 2 จึงสามารถไปต่อได้อย่างไม่มีสะดุด–และเป็นการยืนยันในตัวเองว่าปีแรกนั่น "ไม่ฟลุ้ค"
แน่นอน แรกสุดคือ เอเมรี่ ฝีมือดี แท็กติกเยี่ยม
ถัดมาก็คือ "ขุมกำลังนักเตะ" ของเขายังดีด้วย ลงตัวตั้งแต่หลังสุดไปหน้าสุด
ควรถือเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของ เอเมรี่ และทีมงานหลังบ้าน ที่สามารถรั้งตัว เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ จอมหนึบแชมป์โลก เอาไว้อยู่กับทีมต่อได้ ไม่ย้ายออกในตลาดซัมเมอร์ 2023 ทั้งที่หลายทีมยักษ์ต่างต้องการตัว
หลังบ้านที่เคยช้ำรั่ว ถูกแก้ปัญหาด้วย ดีเอโก้ คาร์ลอส (มาตอน เจอร์ราร์ด คุม) และลูกน้องเก่า เปา ตอร์เรส ซึ่งจนถึงตอนนี้เริ่มถูกยกย่องแล้วว่าเป็นคู่เซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดคู่หนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ปีนี้
แดนกลาง อัดแน่นไปด้วยตัวดีๆ และเหมาะสมกับแท็กติก นี่ขนาดว่า ยูรี่ ตีเลมันส์ ยังเรียกฟอร์มท็อปๆ แบบตอนอยู่ เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาไม่ได้
ข้างหน้า พร้อมเล่นงานทุกทีมด้วยตัวจบสกอร์อย่าง โอลลี่ วัตกิ้นส์ (13 ประตู) และตัวริมเส้นฝีเท้าจัดอย่าง มุสซ่า ดิยาบี้ กับ ลีออน ไบลี่ย์
และเมื่อบวกอีกปัจจัยอย่าง "การเล่นอย่างไม่กดดัน" ไม่ได้มีความคาดหวังสูงค้ำคอ
แอสตัน วิลล่า จึงไปโลดอย่างที่เห็น
อันดับ 3 ตามหลัง ลิเวอร์พูล 2 แต้ม
ในทางทฤษฎี แน่อยู่แล้วว่า แอสตัน วิลล่า "กำลัง" มีเอี่ยวลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถูกตั้งคำถามไว้เช่นกันหลังจากเกมที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้อย่างราบคาบในรูปเกม และยอดกุนซือทัพเรือบอก "แน่นอนเลย จากสมดุลการเล่นของพวกเขา ความแข็งแกร่งด้านร่างกาย ความเร็วในการเล่น กำลังเสริมจากม้านั่งสำรอง ความแข็งแกร่งของเกมรับและผู้รักษาประตู แน่นอนที่สุด"
ที่จริง ไม่ต้องให้ เป๊ป มารับรอง ก็พอจะมองเห็นว่า วิลล่า มีโอกาสจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า พรีเมียร์ลีก พร้อมอยู่แล้วที่จะเปิดประตูรับความเซอร์ไพรส์แบบนานทีปีหน อย่างที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เคยสร้างตำนานเอาไว้ในปี 2015/16
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางรัศมีเปล่งปลั่งแห่ง วิลล่า พาร์ค ที่จริงมันก็ยังแฝงไว้ด้วย "เงามืด" ปมปัญหาสำหรับทีมสิงห์ผงาดของ เอเมรี่
อย่างการที่เมื่อต้องออกไปเล่น "ทีมเยือน" แล้ว สิงห์ผงาดคำรามก้องตัวนี้ กลับกลายเป็นแค่น้องเหมียวแมวหง่าว น่ารักน่าชังน่าขยำขยี้เล่นสำหรับคู่แข่ง เท่านั้น
ในขณะที่สถิตินัดเหย้าคือ 100% พบว่าเมื่อออกนอกบ้านแล้ว 8 นัดจนถึงตอนนี้
วิลล่า ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 3
ตรงกันข้ามชัดเจนกับผลเกมเหย้า คือเกมเยือน วิลล่า ยังตั้งหลักไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่มีการเอาชนะ 2 เกมติดได้แต่อย่างใด
การที่เก็บได้แค่ 11 แต้มจาก 8 เกมเยือนซีซั่นนี้ หมายถึง วิลล่า มีผลงานในแง่นี้แค่ระดับ "กลางตาราง" เท่านั้น แย่กว่าทุกทีมหัวตาราง และแย่กว่า เอฟเวอร์ตัน (13), เวสต์แฮม (13), แมนฯ ยูไนเต็ด (12) หรือแม้แต่ คริสตัล พาเลซ (11) ก็ยังมีผลต่างประตูเหนือกว่า
ปัญหานี้ยังต่อเนื่องมาจากซีซั่นก่อนเช่นกัน ด้วยพบว่า 12 เกมเยือนหลังสุด วิลล่า ชนะแค่ 3
ที่เหลือเสมอ 4 และแพ้ถึง 5
ดังนั้น มันจึงชัดเจนมากว่า เอเมรี่ ต้องกลับไปแก้ไขตรงจุดนี้เสียก่อน ทำให้ผลงานนัดเยือนแข็งแกร่งขึ้นมาทัดเทียมกับ "100% ในบ้าน" ให้ได้ และต้องโดยเร็วด้วย — เริ่มต้นที่เกมถัดไปกับ เบรนท์ฟอร์ด หรือถัดไปอีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน, เชฟยูฯ และอื่นๆ
หาไม่แล้ว เต็มที่พวกเขาจะเพียงรับไม้ผลัดต่อจาก นิวคาสเซิ่ล ในการเป็นผู้ท้าชิงตั๋ว ชปล. ปีนี้ ส่วนเรื่องลุ้นแชมป์ยังถือว่าเกินเอื้อม
แม้อันที่จริง ท็อปโฟร์นั่น จะถือเป็นความสำเร็จระดับเกินฝันแล้ว ก็ตาม
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/opinion-reason-behind-aston-villa-success-and-how-about-title-race