เลเวอร์คูเซ่น ของ ชาเบียร์ อลอนโซ่ สานต่อผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องจากซีซั่นที่แล้วจนทะยานนำเป็นจ่าฝูงบุนเดสลีกาก่อนเบรคทีมชาติช่วงเดือนตุลาคม
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วง 7 เกมแรกของศึกบุนเดสลีกาซีซั่นนี้ ซึ่งคงมีแฟนบอลไม่กี่คนที่คาดเดาว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น โดยมี 5 เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดของฤดูกาลที่่น่าเหลือเชื่อจนถึงตอนนี้
เลเวอร์คูเซ่น ขึ้นนำจ่าฝูง
ทีมห้างยาของ ชาเบียร์ อลอนโซ่ ถูกจับตามองตลอดช่วงซัมเมอร์ว่าจะสามารถนำโมเมนตัมจากฤดูกาลที่แล้วสานต่อในซีซั่นนี้ได้ดีเพียงใด หลังเทรนเนอร์ชาวสเปนนำ เลเวอร์คูเซ่น ผ่านเข้าถึงรอบตัดเชือกยูโรปาลีก และจบฤดูกาลอันดับ 6 ของศึกบุนเดสลีกา
แต่เส้นทางของ เลเวอร์คูเซ่น จนถึงตอนนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น หลัง อลอนโซ่ นำทีมห้างยาคว้าชัยชนะ 9 จากการลงเล่นทุกรายการ 10 เกม และนำเป็นจ่าฝูงบุนเดสลีกาด้วยผลงานชนะ 6 เสมอ 1 ก่อนเข้าสู่ช่วงเบรคทีมชาติรอบเดือนตุลาคม
อลอนโซ่ ช่วยให้ทีมของเขาผ่านบอลไปรอบๆอย่างสบายและครองบอลเหนือกว่าคู่แข่งด้วยความสำเร็จอันน่าทึ่ง ขณะที่ เลเวอร์คูเซ่น ล้มเหลวในการทำน้อยกว่า 3 ประตูจาก 8 นัดแรกเพียงครั้งเดียว นั่นคือเกมเสมอ บาเยิร์น มิวนิค 2-2
นักเตะที่ เลเวอร์คูเซ่น ดึงเข้ามาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และพวกเขาทำผลงานได้เหนือกว่าความคาดหมายเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ วิคเตอร์ โบนีเฟซ หัวหอกชาวไนจีเรียนวัย 22 ปีที่ย้ายมาจาก แซงต์ ชิลลัวส์ ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในฐานะกองหน้าตัวเป้าอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการทำ 7 ประตูจาก 7 เกมแรก
ขณะที่ กรานิต ชาคา อดีตมิดฟิลด์ อาร์เซน่อล ใช้ประสบการณ์และคลาสของเขาในฐานะตัวคุมจังหวะเกมกลางสาม ส่วน อาเลฆานโดร กรีมาลโด้ ทำผลงานอย่างมั่นคงในตำแหน่งแบ็กซ้ายและยังมีความสามารถพิเศษในการกระหน่ำลูกฟรีคิกอันน่าทึ่ง
เลเวอร์คูเซ่น ลงเผชิญหน้ากับทีมแกร่งอย่าง แอร์เบ ไลป์ซิก และ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงเดือนแรกของฤดูกาล แต่ทีมของ อลอนโซ่ สามารถสยบทีมกระทิงแดงเมืองเบียร์ด้วยสกอร์ 3-2 ก่อนบุกแบ่งแต้มกับทีมเสือใต้ถึงสังเวียน อัลลีอันซ์ อาเรน่า
การเริ่มต้นที่ดีอย่างน่าประหลาดใจของ เลเวอร์คูเซ่น นั้นน่าตื่นเต้นเพียงพอสำหรับแฟนๆ ที่ทีมห้างยาเริ่มคิดว่าพวกเขาอาจสร้างเซอร์ไพรส์เพิ่มเติมในอนาคต นั่นอาจรวมถึงการโค่นบัลลังก์ทีมเสือใต้เพื่อคว้าแชมป์ลีกเมืองเบียร์ซีซั่นนี้
เซรู กีราสซี่ และการพุ่งทะยานของ สตุ๊ตการ์ท
ศึกบุนเดสลีกาดูน่าหลงใหลเสมอสำหรับหลายๆสโมสรที่ต่อสู้เพื่อแย่งแชมป์และคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรปด้วยการดึงนักเตะใหม่ที่มีแนวโน้มที่ดีเข้ามา แต่ สตุ๊ตการ์ท ไม่ถูกนับรวมอยู่ในนั้น หลังทีมม้าขาวต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ก่อนจะสยบ ฮัมบูร์ก ในรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น-ตกชั้นรักษาสถานะของทีมบุนเดสลีกาได้ต่อไป
เป้าหมายหลักของ สตุ๊ตการ์ท คือการคงอยู่ในบนเวทีบุนเดสลีกาต่อไปโดยไม่ต้องดิ้นรนเหมือนฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาเปิดหัวซีซั่นใหม่ด้วยการถล่ม โบคุ่ม 5-0 ก่อนทำท่าว่าจะเข้ารอยเดิมหลังการปราชัยต่อ แอร์เบ ไลป์ซิก 1-5 ในเกมถัดมา แต่ทีมของ เซบาสเตียน เฮอเนส จะเดินหน้าคว้าชัยชนะ 5 เกมติดต่อกันทำรวมกันถึง 22 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมแรกและพุ่งทะยานขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงตามหลัง เลเวอร์คูเซ่ย เพียงแต้มเดียวเท่านั้น
โชคชะตาของผู้เล่นคนหนึ่งมีส่วนช่วยการฟื้นคืนชีพของ สตุ๊ตการ์ท ซึ่งประสบความสำเร็จครั้งสุดท้ายตั้งแต่การคว้าแชมป์บุนเดสลีกาซีซั่น 2006-2007 โดยเฉพาะการทำประตูที่ไม่รู้จักพอของ เซรู กีราสซี่ ที่ฟอร์มผีเข้าทำ 2 แฮตทริคสู่เส้นทางการสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำ 13 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมแรกของบุนเดสลีกา
กีราสซี่ ทำแฮตทริค 2 ครั้งจาก 7 เกมแรกในนัดบุกชนะ ไมนซ์ 3-1 และเกมเปิดบ้านแซงชนะ โวล์ฟสบวร์ก 3-1 กองหน้าวัย 27 ปีทำนัดละ 2 ประตูอีก 3 เกมกับ โบคุ่ม (5-0), ไฟร์บวร์ก (5-0) และ ดาร์มสตัดท์ (3-1)
มันเป็นผลงานอันน่าทึ่งของ กีราสซี่ เนื่องจากเขาต้องการอีกเพียง 3 ประตูเท่านั้นก็จะทำผลงานเทียบเท่า นิคลาส ฟึลครุก (แวร์เดอร์ เบรเมน) และ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู (แอร์เบ ไลป์ซิก) เจ้าของร่วมดาวซัลโวบุนเดสลีกาซีซั่นที่แล้วจากการยิง 16 ประตู
แม้ สตุุ๊ตการ์ท ได้พึ่งพาฟอร์มผีเข้าของ กีราสซี่ เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่กองหน้าวัย 27 ปีคงไม่สามารถทำผลงานในระดับนี้หากไม่มีตัวแสดงสมทบชั้นดีอย่าง คริส ฟือห์ริค และ เอ็นโซ่ มิลล็อต ซึ่งคอยสร้างสรรค์ให้ กีราสซี่ โจมตีแนวป้องกันคู่แข่งอย่างรวดเร็วและเฉียบคม ก่อนจนได้ฉายาว่า 'Magic Triangle' นั่นส่งผลให้ ฟือห์ริค ถูก ยูเลียน นาเกลส์มันน์ เรียกตัวติดทีมชาติเยอรมนีครั้งแรก
แข้งดาวดังยังไม่เปล่งประกาย
ในขณะที่มีความสนใจมากมายในช่วงต้นฤดูกาลพุ่งตรงไปที่ แฮร์รี่ เคน ในฐานะการเสริมทัพที่มีชื่อเสียงมากสุดของเวทีบุนเดสลีกา หลัง บาเยิร์น มิวนิค ทุ่มเงินเกือบ 100 ล้านยูโรดึงหัวหอกทีมชาติอังกฤษมาจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทว่าการเริ่มต้นของ เคน ถูกกลบด้วยผลงานของแข้งโนเนมอย่าง เซรู กีราสซี่ กองหน้าวัย 27 ปีของ สตุ๊ตการ์ท
ไม่มีใครทำได้ดีกว่า กีราสซี่ แม้แต่ เคน แม้ว่ากองหน้าทีมชาติอังกฤษจะเริ่มต้นอาชีพกับ บาเยิร์น มิวนิค ได้ดีในระดับหนึ่งก็ตาม แต่อดีตดาวยิงทีมไก่เดือยทองทำแค่ 8 ประตูและเป็นการทำแฮตทริคเพียงครั้งเดียว (ชนะ โบคุ่ม 7-0) ยังตามหลังหัวหอกทีมม้าขาว 5 ประตู ขณะที่ โยนาส วินด์ กองหน้าทีมชาติเดนมาร์กของ โวล์ฟสบวร์ก และ วิคเตอร์ โบนีเฟซ ดาวยิงชาวไนจีเรียนของ เลเวอร์คูเซ่น ทำคนละ 7 ประตู
บาเยิร์น มิวนิค ของ เคน ยังทำผลงานด้อยกว่า สตุ๊ตการ์ท ของ กีราสซี่ หลังทีมเสือใต้อยู่อันดับ 3 ของบุนเดสลีกา โดยมี 17 คะแนนจากการลงเล่น 7 เกมตามหลังทีมม้าขาวและทัพห้างยา 1 กับ 2 แต้มตามลำดับก่อนเบรคทีมชาติรอบเดือนตุลาคม
ส่วน มักซิมิเลียน ไบเออร์ กองหน้าวัย 20 ปีของ ฮอฟเฟนไฮม์ ทำผลงานในช่วงต้นซีซั่นนี้ได้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน หลังการทำ 5 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมแรก สำหรับ เควิน เบห์เรนส์ หัวหอกวัย 32 ปีของ อูนิโอน เบอร์ลิน ทำผลงานช่วงเริ่มต้นได้ดีเช่นกันหลังการทำ 4 ประตู ซึ่งรวมถึงการโขกแฮตทริคในเกมชนะ ไมนซ์ 4-1
มาร์โค รอยส์ หลังถอดปลอกแขนกัปตันทีม
แน่นอนว่ากองหน้าตัวเป้าของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ถูกพูดถึงในช่วงต้นซีซั่นนี้ หลัง นิคลาส ฟึลครุก ทำไปเพียง 2 ประตู ขณะที่ เซบาสเตียง อัลแลร์ ยังคลำเป้าไม่เจอ โดยมี ดอนเยลล์ มาเลน กับ มาร์โค รอยส์ นำเป็นดาวซัลโวของทีมเสือเหลืองจากผลงาน 3 ประตู
รอยส์ เพิ่งสละปลอกแขนกัปตันทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และคาดว่าแนวรุกวัย 34 ปีจะมีบทบาทเล็กๆน้อยๆในซีซั่นนี้ ทว่าผู้เล่นหมายเลข 11 กลับทำผลงานดีเกินคาดด้วยการทำ 3 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ จากการออกสตาร์ท 4 เกมและลงเล่นฐานะสำรองอีกหนึ่งนัด ซึ่งรวมถึงการทำประตูชัยดับ โวล์ฟสบวร์ก 1-0
ตอนนี้ รอยส์ แซงหน้า มานเฟร็ด บวร์กมุลเลอร์ และ มิเชล ซอร์ค ขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ เบเฟาเบ ด้วยการทำ 164 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการ 393 เกมตามหลังเฉพาะ อาดี้ เพรสเลอร์ ที่ยิงรวมกัน 177 ประตูเท่านั้น
ปัจจุบัน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังคงเกาะติดกลุ่มทีมนำของบุนเดสลีกาตอนนี้ หลังเก็บ 17 คะแนนจากการลงเล่น 7 เกมแรก แม้ว่าจะออกสตาร์ทซีซั่นนี้แบบกระท่อนกระแท่นและกองหน้าตัวเป้ายังเล่นได้ต่ำกว่าระดับมาตรฐาน แต่ทีมเสือเหลืองยังได้รับการช่วยเหลือจากผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง รอยส์ ที่เล่นอย่างอิสระมากขึ้นหลังไม่ต้องแบกรับภาระในฐานะผู้นำทีมเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ลีรอย ซาเน่ คืนฟอร์ม
หนึ่งปีที่แล้ว ลีรอย ซาเน่ ทำผลงานในฤดูกาลที่แล้วไม่ดีนัก เขาออกสตาร์ท 20 ครั้งจากการลงเล่น 32 เกมบนเวทีบุนเดสลีกาและทำเพียง 8 ประตู ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนเทรนเนอร์ระหว่างทางจาก ยูเลียน นาเกลส์มันน์ มาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล จนกระทั่ง บาเยิร์น มิวนิค เซ็นสัญญากับ แฮร์รี่ เคน ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก่อน ซาเน่ จะฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นแนวรุกอันตรายอีกคำรบ
ซาเน่ สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลนี้ ทั้งการเคลื่อนที่และความเร็วของแนวรุกวัย 27 ปีที่ฉีกแนวป้องกันของคู่แข่ง และกำลังทำผลงานดีสุดในอาชีพของเขา หลังการทำไปแล้ว 6 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมแรก เหลืออีกเพียง 2 ประตูก็จะเทียบเท่าการยิงตลอดฤดูกาลที่แล้ว
อดีตแข้ง แมนฯซิตี้ ใช้ความเร็วซึ่งเป็นจุดแข็งของเขาเผาฝ่ายตรงข้าม โดยมีการบันทึกว่า ซาเน่ มีจังหวะเร่งสปีดถึง 461 ครั้ง และมีความเร็วสูงสุดเกือบ 22 ไมลต์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของเขาจนสร้างผลงานโดดเด่นและแย่งแสงสปอตไลท์มาจาก เคน แม้ว่าหัวหอกทีมชาติอังกฤษจะทำมากกว่าเขา 2 ประตูก็ตาม
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com