ตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูล
ในช่วงตลาดซื้อขาย เดือนมกราคม 2018 เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กลายมาเป็นปราหารหลังที่ทีมจะขาดไปไม่ได้ สำหรับการย้ายทีมมา ในช่วงแรก ด้วยค่าตัวมหาศาลกว่า 75 ล้านปอนด์ เกิดคำถามตามมาอย่างมากมาย
ผลสุดท้าย ฟาน ไดจ์ค ลงมาคุมแนวรับของลิเวอร์พูล ได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับเปลี่ยนความคิดคนไปอย่างสิ้นเชิงว่า นี่คือนักเตะที่คุ้มค่าทุกเพนนี แม้วัยจะล่วงเลยไป 32 ปีแล้ว ทว่าเขายังคงรักษาฟอร์ม และระดับการเล่นของตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม
หากเรามองไปที่สไตล์การเล่นของฟาน ไดจ์ค นี่ไม่ใช่ปราการหลังที่เน้นการเข้าปะทะอย่างหนักหน่วง หรือเสียบคู่แข่งอย่างรุนแรง ฟาน ไดจ์ค คือกองหลังประเภท “มันสมอง” ที่ใช้การอ่านเกมเป็นหลัก และอาศัยการช่วงชิงจังหวะ ในขณะที่ทีมตั้งรับ
ส่วนเวลาที่ทีมสร้างเกมบุก ฟาน ไดจ์ค สามารถเป็นนักเตะตัวรุกคนแรกจากแดนหลัง ที่สามารถเปิดบอลขึ้นหน้าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย ช่วงนี้ เราลองไปเจาะลึกแนวคิดในการเล่นฟุตบอลของปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ รายนี้กันหน่อย
ดูว่าเขามีแนวทางการเล่นฟุตบอลอย่างไร ? ที่นำมาประกอบร่างรวมกัน ส่งผลให้เขาก้าวมาประสบความสำเร็จ ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ พร้อมกับพาลิเวอร์พูล คว้าทุกแชมป์รายการระดับเมเจอร์ได้เป็นผลสำเร็จ
ฟาน ไดจ์ค เริ่มต้นกล่าวว่า การลงเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง … สิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากคือ ห้ามประหม่าอย่างเด็ดขาด หากเราสังเกตกัน ปราการหลังหลายคน เวลาที่ลงสนามไปเจอกับสถานการณ์กดดัน ทำให้ร่างกายไม่เคลื่อนไหวไปตามที่ใจคิด
เขาบอกว่า แม้แต่เกมที่สุดสำคัญอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ เขายังลงสนาม พร้อมกับความเยือกเย็น และผ่อนคลาย เขาจะไม่ปล่อยความคิดแง่ลบ แล่นเข้ามาในหัวอย่างเด็ดขาด รวมถึงการตัดสิ่งรบกวนจากภายนอกด้วย
เขาเผยต่อว่า ความประหม่า อาจทำให้เกิดภาพหลอนในหัวอย่างมากมาย อาทิเช่น อาการกลัวที่จะผิดพลาด หรือกลัวที่จะเสียบอล หากมีแนวความคิดแบบนั้น มันจะคอยสร้างข้อจำกัดให้ตัวเขาด้วย ดังนั้น การพัฒนาด้านความคิด และจัดการความกดดัน คือสิ่งที่เขาพัฒนามาตลอด
นี่คือเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเราถึงเห็นฟาน ไดจ์ค ลงสนามด้วยความใจเย็น ส่งผลต่อบุคลิก และภาพจำในสนาม และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แนวรุกของคู่แข่งมากมาย มีความพยายามเลี้ยงบอลหลบฟาน ไดจ์ค ช่วงเวลาหนึ่ง แทบไม่มีใครทำสำเร็จเลย
โดยเขาบอกว่า เคล็ดลับสำคัญในการจัดการแนวรุกคู่แข่งให้อยู่หมัด นั่นคือการกล้าที่จะเผชิญหน้า การกล้าที่จะเผชิญหน้า ส่งผลเรื่องของจิตวิทยาอย่างแรงกล้า นอกจากการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ยังเป็นการลดความมั่นใจของคู่แข่ง
ฟาน ไดจ์ค กล่าวว่า เขาไม่เคยเกรงกลัว ที่จะโดนคู่แข่งเลี้ยงจี้เข้าใส่เลย เขาชอบอาศัยจังหวะการเล่นงานอย่างใจเย็น เขาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่วัยเด็ก จากการเล่นฟุตบอล 5 คนตามท้องถนน ช่วยเรื่องของการเติมเกมรุกอย่างรวดเร็ว และแม่นยำ
รวมถึงการเรียนรู้สถานการณ์ การดวลเดี่ยวแบบตัวต่อตัว หากปล่อยให้ความกลัวเข้ามาในจิตใจ การป้องกันจะพบกับปัญหา
ปราการหลังส่วนมาก มักมีความคิดฝังหัวว่า พวกเขามีหน้าที่เล่นเกมรับ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามยิงประตู อย่างไรก็ตาม ฟาน ไดจ์ค กลับไม่ได้คิดแบบนั้น เขามองว่าปราการหลัง ควรทำอะไรได้มากกว่าที่เป็น
ฟาน ไดจ์ค เชื่อว่ากองหลังสมัยใหม่ จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับในเรื่องการเติมเกมบุกเช่นเดียวกัน เขาได้เปิดเผยว่า ทุกวันนี้ เขาพยายามฝึกซ้อมพิเศษมากกว่าเดิม ทั้งแง่ของการเติมเกมสูงไปเล่นลูกเตะมุม, ลูกฟรีคิก รวมถึงการสลัดตัวประกบ
การฝึกซ้อมอย่างหนัก ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ท้ายที่สุด มันจะกลายเป็นความเคยชิน
เพื่อเป็นการเพิ่มเติมทางเลือกให้ทีมในการทำประตู เหนือสิ่งอื่นใด พยายามพาทีมเก็บรักษาคลีนชีทให้ได้ และมีส่วนร่วมกับประตูให้มากเข้าไว้
เมื่อ 2 สิ่งอย่างการเล่นเกมรุก และเกมรับ นำมาผสมผสานกันอย่างลงตัวเขาก็จะเป็นกองหลังที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น นอกจากนี้ ฟาน ไดจ์ค บอกว่า “การไม่ยอมแพ้” ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมากเลย เขาชอบทำงานอย่างหนัก เพื่อเป็นการรับใช้ความฝันของตัวเอง
นักเตะหลายคนมักไม่ประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น ยอมทิ้งความฝันเอาไว้ระหว่างทาง เขายอมรับว่า กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การจะก้าวมาเป็นนักเตะที่ดี ควรอดทนต่อโอกาสที่ยังมาไม่ถึง
แม้ว่าจะเป็นตัวสำรองก็อย่าปริปากบ่น หรือวิจารณ์ ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป แม้จะมีอุปสรรคมากมาย เขาก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และใช้ความสามารถที่มี ในการพิสูจน์ตัวเอง
ฟาน ไดจ์ค เน้นย้ำเสมอมาว่า สมาธิในการเล่นฟุตบอล ถือเป็นเรื่องที่ควรมีติดตัวเอาไว้เสมอ โดยเขามองว่า นักเตะหลายคนโฟกัสในเรื่องนอกสนามมากเกินความจำเป็น จนส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในสนามแข่งขัน
เขาเป็นคนที่รักษาโฟกัส ทั้งในการฝึกซ้อม และการแข่งขันจริง ทำทุกอย่างแบบสุดความสามารถ โดยฟาน ไดจ์ค บอกว่าสิ่งที่นักเตะ (โดยเฉพาะนักฟุตบอลที่อายุน้อยๆ) ควรมีนั่นคือการรักษาระดับของความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้
อย่ากลายมาเป็นคนที่ลืมตัว พร้อมกับมีความสุขกับทุกเรื่องที่ลงมือทำ ทำให้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง นอกจากนี้ นักเตะอาชีพหลายคนไม่ค่อยเอาใจใส่ หรือว่าเข้มงวดในการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
การดูแลตัวเอง ทำให้นักฟุตบอลสักคนลงเล่นได้อย่างยาวนานมากขึ้น และยืนระยะในเกมระดับสูงได้ ฟาน ไดจ์ค เคยได้รับบทเรียนมาเช่นเดียวกัน หากย้อนกลับไปในปี 2011 เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากมีปัญหาภาวะช่องท้อง
เขาบอกว่า เขารับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากจนเกินไป และเกือบถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลยทีเดียว ทุกวันนี้ เขาจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะร่างกายเป็นกุญแจสำคัญ ในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานในสนาม
ฟาน ไดจ์ค ปิดท้ายว่า ทุกสโมสรที่เขาเล่นให้ โดยเฉพาะการลงสนามให้ลิเวอร์พูล เขามีความคิดว่า “นี่คือสโมสรของเขา” เขาจะใส่ความภาคภูมิใจ ตลอดทุกวันที่ได้สวมเสื้อแข่งตัวนี้ ผลสุดท้ายแล้ว จงมีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองสามารถลงสนามไป และยอมตายเพื่อสโมสรได้
นี่คือปัจจัยสำคัญในการเร่งฟอร์มที่สุดยอดออกมา นอกจากพลังในร่างกาย เรื่องของพลังแฝงก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ฟาน ไดจ์ค ทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะสโมสรจะอยู่ในช่วงเวลาที่ดี หรือเลวร้าย ห้ามมีความคิดที่ว่า อยากทิ้งสโมสรเอาไว้กลางทาง
ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com