มาถึงอีกครั้งอย่างไม่ผิดคิว สำหรับเบรคทีมชาติประจำเดือนพฤศจิกายน ที่มีทั้งการตัดสินรอบคัดเลือก ยูโร 2024 และ ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกของหลายโซน ดังนั้นก็ถือโอกาสไปมองซ้ายแลขวากันหน่อย กับสถานการณ์ที่เป็นไปของทั้ง พรีเมียร์ลีก และบรรดาลีกแถวหน้าของยุโรป ซึ่งเริ่มเห็นดำเห็นแดงมากขึ้นทุกขณะแล้ว
การพลาดท่าเสีย 2 แต้มให้กับจุดโทษ 90+5 ของ เชลซี สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ภาพของการแย่งชิงหัวหาด พรีเมียร์ลีก จนถึงตอนนี้ เป็นไปอย่างขับเคี่ยวคู่คี่สูสี
เรือ 28 หงส์กับปืน 27
ประเด็นสำคัญของเมื่อสุดสัปดาห์ ยังอยู่ที่การสะดุดอย่างต่อเนื่องของ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่พ่าย วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส อย่างเจ็บปวด 1-2 ชนิดโดน 1-1 ตอนทด 90+1 และ 1-2 ทด 90+7
ความพ่ายแพ้นี้ยังมาถัดจากที่ สเปอร์ส โดนพิษคำตัดสินจนต้องเหลือ 9 คน และแพ้ เชลซี ย่อยยับ 1-4 เกมมันเดย์ไนท์ 6 พ.ย.
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโชคดวงจะไม่เป็นใจขนาดไหน แพ้ก็คือแพ้ และการที่ สเปอร์ส แพ้ 2 นัดติด ก็ทำให้พวกเขาถอยลงไปอยู่ถึงอันดับ 4 นำหน้า แอสตัน วิลล่า แต้มเดียวถ้วนๆ
เช่นกัน สเปอร์ส เหลือนำหน้าทีมกระเสาะกระแสอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยืนอันดับ 6 อยู่แค่ 5 แต้มเท่านั้น เมื่อกลายเป็นว่า เห็นเดี๋ยวก็แพ้เกมนั้นแพ้เกมนี้ ปรากฏ แมนยู ชนะใน พรีเมียร์ลีก มาถึง 4 จาก 5 เกมหลัง
ด้านท้ายตาราง ชัดเจนมากว่า การลุ้นหนีตายจะเป็นเรื่องของ 4 ทีม ซึ่งได้แก่ 3 น้องใหม่ ลูตัน ทาวน์ + เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด + เบิร์นลี่ย์ กับทีมหน้าเก่าอย่าง บอร์นมัธ ซึ่งถึงตอนนี้ทั้ง 4 ก็เป็นแค่ 4 ทีมที่ยังทำแต้มได้ไม่ถึง 2 หลักอย่างใครเขา
น่าผิดหวังสุดกลายเป็น เบิร์นลี่ย์ แชมป์ ชปช. 101 แต้ม ซึ่งดูจะมีทีมที่ "ไม่พร้อมลุยพรีเมียร์ลีก" จนแพ้แล้วถึง 10 จาก 12 เกมที่ผ่านไป
ใน พรีเมียร์ลีก ช้างบนต้นไม้อย่าง สเปอร์ส เริ่มแบนดิ้งกระแทกพื้น แต่ที่ ลา ลีกา ช้างอย่าง คิโรน่า ยังไปได้ต่อแบบไม่มีสะดุด จนถือเป็น "ปรากฎการณ์" ชิ้นสำคัญของฟุตบอลสเปน ซีซั่นนี้
ทีมที่มีดาวเด่นเป็นชื่อไม่น่าเชื่ออย่าง บอร์ฆา มาโยรัล หรือ อาร์เต็ม โดฟบิค หรือ ดาลี่ย์ บลินด์ ทีมนี้ ยังสานต่อมาตรฐานความร้อนแรงอย่างน่าเกลียด ผ่าน 13 เกมด้วยการชนะ 11 เสมอ 1 แพ้ 1 และยิงได้มากที่สุดในลีก (31 ประตู) จนยืนแท่นจ่าฝูงเหนือ เรอัล มาดริด 2 แต้ม
อย่างไรก็ตาม ทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า อาจมีสะดุดให้เห็นบ้าง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ คิโรน่า ทิ้งระยะห่างไปไหนมากมาย โดยตามหลังแค่ 2 กับ 4 แต้ม ตามลำดับ
สำหรับ จู๊ด เบลลิงแฮม บาดเจ็บเล็กๆ ในช่วงหลัง จนผลงานออกทรงเว้นระยะไม่ต่อเนื่อง ถัดจากที่ระเบิดฟอร์มสุดยอด เหมา 2 ประตูพา มาดริด บุกสยบ บาร์ซ่า 2-1 ใน เอล กลาซิโก้ เมื่อ 28 ต.ค.
จากก่อนเบรคทีมชาติครั้งที่แล้ว ซึ่งตำแหน่งจ่าฝูงดูเป็นการเล่นเก้าอี้ดนตรีระหว่าง เอซี มิลาน กับ อินเตอร์ มิลาน
มาถึงตอนนี้ กลายเป็นว่า เอซี มิลาน เริ่มถอยฉากตัวเองออกไปอย่างช้าๆ ด้วยผลงานเสมอ 2 แพ้ 2 ในระยะ 4 เกมหลังสุด
มิลาน แต้มชะงักที่ 23 แต้ม และตามหลังจ่าฝูง อินเตอร์ มิลาน ห่างไปเรื่อยๆ จนระยะอยู่ที่ 8 คะแนนแล้ว
ที่ต้องชมเชยคือ ยูเวนตุส ซึ่งดูกลับมาแรงเหลือเชื่อ ชนะ 5 เกมซ้อน (แบบทำคลีนชีตได้ถึง 4) จนเข้าใกล้ อินเตอร์ ได้มากที่สุด ตามหลังแค่ 2 แต้มเท่านั้น
ฝั่งท้ายตาราง อูดิเนเซ่ แสดงให้เห็นว่า "เสมอเยอะไป" ก็งานเข้าได้เหมือนกัน เมื่อที่จริงแล้วพวกเขาเพิ่งแพ้ไปแค่ 3 นัดเท่านั้น (เท่า มิลาน, นาโปลี) แต่ด้วยการที่เสมอไปมากถึง 8 ครั้ง แล้วเพิ่งชนะได้เกมเดียว ก็ทำให้แต้มไม่คืบ และจมอันดับ 16 แบบที่โซนแดงกวักมือเรียกอยู่ไม่ไกล
ในเวลาเดียวกับที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ดูแผ่วๆ ลงไป ผ่าน 11 นัดด้วยการชนะแค่ 6 และยืนแค่อันดับ 5 ของตารางลีกเมืองเบียร์ ก็ดูเหมือนว่าตำแหน่ง "ผู้ท้าชิง" จะถูกถ่ายไปสู่ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แทนบ้าง
ห้างขายยาของ ชาบี อลอนโซ่ ทำได้ดีในระดับ "เกือบเต็ม" เมื่อพวกเขาชนะได้ถึง 10 จาก 11 เกมแรก นัดเดียวที่เสียแต้มคือการเสมอกับ บาเยิร์น 2-2 นั่นเอง
ด้วยทรงลักษณะนี้ หากไม่หลุดจากมาตรฐานอย่างน่าเกลียด อย่างน้อยที่สุด เลเวอร์ฯ จะมีการันตีตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกปีแน่นอน
ส่วนสำหรับ บาเยิร์น มิวนิค ถือว่ามาตรฐานยังคงเดิม ยืนรองจ่าฝูงด้วยการชนะ 9 เสมอ 2 แต่ก็ถือว่าปีนี้พวกเขามี "สิ่งดีๆ" เกิดขึ้น อย่างการลงทุนนับร้อยล้านยูโรซื้อ แฮร์รี่ เคน มาเสริมคมแนวรุก จนถึงตอนนี้ก็ผลิดอกออกผลอย่างสวยงาม กัปตันทีมชาติอังกฤษกระหน่ำแล้ว 17 ประตูในลีก นำดาวซัลโว บุนเดสลีกา
ขณะที่ทุกรายการ เคน ก็ยิงแล้วถึง 21 ประตู จากการเล่นแค่ 16 นัดเท่านั้น
บนสุดของ ลีก เอิง นอกเหนือจากการ "อยู่ที่ชอบๆ" ของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมงด้วยฟอร์มช่วงหลังที่จ้ำพรวดๆ ขนะในลีกติดกัน 5 เกมซ้อน (ซึ่งถือว่าไม่น่าแปลกใจ) แล้ว ประเด็นคงอยู่ที่ นีซ ซึ่งจนป่านนี้ยัง "ไร้พ่าย" แพ้ใครไม่เป็น
นีซ ในการบริหารงานของ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ ลงสนามผ่าน 12 นัด ได้ผลชนะ 7 เสมอ 5 นับเป็นผลงานดีสุดในการเริ่มต้นซีซั่น แทบจะในประวัติศาสตร์สโมสรก็ว่าได้
ในทางตรงกันข้าม อดีตทีมใหญ่อย่าง โอลิมปิก ลียง ยังคงพาตัวเองพ้นจากวิกฤตจมบ๊วยลีกน้ำหอมไปไม่ได้ทั้งที่เปลี่ยนกุนซือจาก โลร็องต์ บล็องก์ เป็น ฟาบิโอ กรอสโซ่ แล้วก็ตาม
โดยแม้ล่าสุด ลียง จะฮึดชนะ แรนส์ 1-0 แต่ก็เป็นเพียงชัยชนะนัดแรกสุดของซีซั่นนี้เลย ซึ่งทำให้มี 7 คะแนน ตามหลังโซนปลอดภัยอยู่ถึง 5 แต้มด้วยกัน
ชักเริ่มไม่ดี… จากที่มองกันว่า เลสเตอร์ ซิตี้ มีสิทธิ์ยิงยาว "ม้วนเดียวจบ" จนการันตีเลื่อนชั้นกลับสู่ พรีเมียร์ลีก ภายหลังชนะรวด 9 เกมติดต่อกันช่วงแมตช์ที่ 6-14 หรือถึงสิ้นเดือนที่แล้ว
ปรากฏว่าสองเกมหลัง…จิ้งจอกแพ้รวด
0-1 ลีดส์ ยูไนเต็ด ในบ้าน และ 0-1 มิดเดิ้ลสโบรช์ นอกบ้าน
ผลจากการแพ้ 2 เกมซ้อน ทำให้แต้มของ เลสเตอร์ หยุดนิ่งที่ 39 คะแนน โดนรองจ่าฝูง อิปสวิช ทาวน์ ทำแต้มมาเท่ากันแล้วโดยเป็นรองเพียงผลต่างประตูได้เสีย 4 ลูก
สำคัญคือ ระยะห่างจากอันดับ 3 ลีดส์ ที่เคยถ่างห่างไกลถึง 14 แต้ม ได้ถูกลดช่องว่างลงไปเหลือแค่ 8 คะแนนเท่านั้น
ในส่วนของท้ายตาราง เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ทีมของ เดชพล จันศิริ ซึ่งกำลังมีปัญหากับแฟนบอลชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ มีแววตกชั้นสูงลิบ จากการจมบ๊วยเพิ่งมี 6 แต้มจาก 16 นัด ตามหลังโซนปลอดภัยร่วม 10 คะแนนเข้าไปแล้ว
ผ่านไป 13 นัดของลีกเงินสะพัดอย่าง โปรลีก ซาอุฯ พบว่า "ม้าสองตัว" ที่จะแก่งแย่งแชมป์กัน ดูท่าว่าจะเป็น อัล-ฮิลาล ต้นสังกัดของ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช, รูเบน เนเวส, มัลคอม, เซอร์เก มิลินโควิช-ซาวิช (และ เนย์มาร์ ที่ปิดเทอมแล้ว) กับทาง อัล-นาสเซอร์ ที่นำมาโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ซาดิโอ มาเน่, มาร์เซโล่ โบรโซวิช, อเล็กซ์ เตลเลส, อายเมอริก ลาป๊อร์กต์
ตอนนี้ อัล-ฮิลาล นำหน้า อัล-นาสเซอร์ อยู่แค่ 4 แต้มเท่านั้น
สำหรับท้ายตาราง…คงไม่น่าสนใจมากไปกว่าอันดับดาวซัลโว ที่ถึงตอนนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 38 ยืนแท่นผู้นำด้วยการกดแล้วถึง 13 ประตู จากการลงสนามแค่ 12 นัดเท่านั้น (พลาดไป 1 เกม) ส่วนถัดลงมาก็เป็นซูเปอร์สตาร์ล้วนๆ อย่าง อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช หอกครึ่งร้อยล้านปอนด์ของ อัล-ฮิลาล ที่ยิงแล้ว 10 ลูก และ คาริม เบนเซม่า แห่ง อัล-อิตติฮัด ก็กดแล้ว 8 ประตูด้วยกัน
ขอบคุณเนื้อหาจาก 90min.com
https://www.90min.com/th/posts/feature-update-top-league-situation-november-2023